ตำนาน ร็อกเรือเหาะ LED ZEPPLIN (2)

Blowin’ in the songs
โดย : ประมวล ดาระดาษ
p_daradas@hotmail.com

ในยุค 70 ตอนกลางถึงปลาย เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดอย่างต่อเนื่องกับสมาชิกภายในวง ทำให้วงเกือบต้องสลาย ปี 1975 โรเบิร์ท แพลนท์ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บถึงขาหัก ที่กรีซ ไอซ์แลนด์ ทำให้ตัวเขาและวงต้องหยุดการเดินสายแสดงแสดงไปถึงสองปี และปี 1977 ลูกชายวัยหกขวบของเขาก็มาเป็นโรคติดเชื้อไวรัสเสียชีวิตไปอีกคน ทางวงก็ได้รับผลกระทบไปอย่างช่วยไม่ได้

สามปีผ่านไปตอนวางแผงอัลบัมที่ทำยอดขายต่ำกว่าเป้า “พรีเซนท์”(1976) และอัลบัมสุดท้ายในสตูดิโอ”อิน ทรู เดอะ ลาสท์ ดอร์”(1979) ในวันที่ 25 สิงหาคม 1980 ในระหว่างการซ้อมของวงเพื่อที่จะออกเดินสายในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง วงเลด เซพพลินก็ต้องสูญเสียมือกลองประจำวง จอห์น “บอนโซ” บอนแฮม ไปด้วย สร้างความช็อกให้สมาชิกและแฟนเพลงที่ติดตามผลงานเป็นอย่างมาก

จอห์น บอนแฮม นอนเสียชีวิตเนื่องจากดื่มเหล้ามากเกินขนาด ทำให้สำลักหมดสติ ลิ้นจุกหลอดลม ทำให้สมองขาดออกซิเจน ทางวงไม่สามารถหาใครมาทดแทนความสามารถของเขาได้ จึงยุบสลายวงในเวลาต่อมา

โรเบิร์ต แพลนท์ หันไปเป็นศิลปินเดี่ยว จิมมี เพจ ไปร่วมกับพอล รอดเจอร์ อดีตนักร้องนำวง แบด คอมปานี สร้างและตัดต่อภาพยนตร์ มีจอห์น พอล โจนส์ มาร่วมเขียนสกอร์เพลงให้ และต่อมาก็มีการรวมตัวของวงอีกครั้งในคอนเสิร์ต “ไลฟ์ เอดส์”และการฉลอง 40 ปีของบริษัทแอตแลนติก เร็กคอร์ด

บางอย่างของพลังเก่าก่อนอาจเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อปี 1995 โรเบิร์ต แพลนท์ และจิมมี เพจ ได้คิดกลับมารวมตัวกันเพื่อออกเดินสายแสดงสดพรั่งพร้อมกับนักดนตรีวงใหญ่ เล่นสนับสนุนชื่อว่าคอนเสิร์ต “โน ควอเตอร์”

ขณะนั้น วงเลด เซพพลิน หลังจากมรณกรรมของมือกลอง ก็ยังยิ่งใหญ่ระดับตำนานในวงการเพลงฮาร์ดร็อก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งอังกฤษหรืออเมริกา เหมือนกับวงเดอะ ดอร์ หรือ เอลวิส เพรสลีย์ ที่ทิ้งมรดกทางบทเพลงไว้ข้างหลัง ยืนยงและยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย

ต่อการที่เพลงของวงมีเสน่ห์จนแฟนๆ สนใจใคร่ฟังกันไม่เบื่อ มีความลึกซึ้งไม่เสื่อมคลาย คงสรุปได้จากคำพูดของจิมมี เพจที่ว่า “อารมณ์ความรู้สึกที่ของกิเลสที่รุนแรงแจ่มชัดคือคำตอบ วงเราเป็นวงที่มีความกระตือรือร้นต่อสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านั้นก็เป็นอะไรที่ผ่านมาในวงอย่างแท้จริงแล้ว”

รุ่งอรุณของสหัสวรรษใหม่ ผลงานของวงเลด เซพพลิน คืออันดับสองรองจาก เดอะ บีทเทิลส์ ในยอดของการจำหน่ายแผ่น 84 ล้านแผ่น อัลบัมอันดับที่สี่ ที่ไม่มีชื่อของวงเลด เซพพลิน เป็นอัลบัมที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง คือขายได้ประมาณ 22 ล้านก็อปปี้

ส่วนอีกสี่อัลบัมของวง คือ เลด เซพพลิน II ฟิสิคัล แกรฟฟิตตี เฮาส์ ออฟ โฮลี และ เลด เซพพลิน คืออัลบัมที่ติด 100 ท็อปชาร์ตตลอดกาลของแนวเพลงฮาร์ดร็อกที่ขายดี ทั้งสองวงได้สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันที่ใครจะลบสถิติได้ไว้ให้แก่วงการ

ประวัติย่อ “เลด เซพพลิน”

1 ก.ค. 1966
อาเมท เอร์ทิกัน ส่งสัญญาณว่าวงครีมจากเกาะอังกฤษ สังกัดแอตแลนติก เร็กคอร์ด จะเป็นวงร็อกพลังหลักที่ยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษ และต่างมีนักดนตรีร่วมสมัยต่างวางแผงแผ่นเสียง มีเดอะ บี จีส์ -เดอะ ฮูเปิล -เยส -เจนิซิส- ดิเร็ก แอนด์ โดมิโน -อีเมอร์สัน เลก แอน พาล์มเมอร์ และเลด เซพพลิน

7 ก.ค. 1968
เดอะ ยาร์ดเบิร์ดส์แตกวง มือกีตาร์ จิมมี เพจ รวมพลเพื่อนนักดนตรีก่อตั้งวงเดอะนิว ยาร์ดเบิร์ดส์ และต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็นเลด เซพพลิน ซึ่งถูกนินทาว่าได้รับการสนับสนุนจากที่ปรึกษาคีธ มูน แห่งวงเดอะ ฮู ตั้งชื่อให้

15 ต.ค. 1968
วงเลด เซพพลิน ทำการแสดงครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ในประเทศอังกฤษ

13 พ.ย.1968
แอตแลนติค เร็กคอร์ด กล่าวให้ข้องสังเกตชมเชยวงเลด เซพพลินว่าเป็น”กลุ่มนักดนตรีหนุ่มที่ร้อนแรง”

15 ก.พ.1969
วางแผงเปิดตัวอัลบัมแรกที่ร้อนแรงของวง ชื่อเลด เซพพลิน เข้าสู่อัลบัมชาร์ต และไต่ขึ้นสูงประมาณอันดับ 10

6 ธ.ค.1969
วงเลด เซพพลินสามารถนำเพลง “โฮล ล็อตตา เลิฟ”เข้าสู่อันดับท็อป 40 และไต่ขึ้นสูงเป็นงานแผ่นเดี่ยวที่ขึ้นถึงอันดับ 4 เป็นงานที่เจิดจ้ามากที่สุดของอัลบัม

27 ธ.ค. 1969
อัลบัม”เลด เซพพลิน II” ติดตารางท็อปชาร์ท ฝั่งอเมริกาถึงเจ็ดสัปดาห์ แต่ฝั่งอังกฤษต้องใช้เวลาถึง เดือนกุมภาพันธ์ 1970

31 ต.ค.1970
อัลบัมที่มีความเป็นบทเพลงโฟล์กมากที่สุด เลด เซพพลิน III กลายเป็นอัลบัมแรกของวงที่ขึ้นถึงอันดับ 1

30 ม.ค.1970
เพลง”อิมมิแกรนท์ ซอง”ติดอันดับ 15

27 ธ.ค. 1971
อัลบัมที่สี่ของวงคืออัลบัมที่ไม่มีชื่อแต่เป็นรูปสัญลักษณ์สี่อย่างตามการออกแบบปก เข้าอันดับอัลบัม บิล บอร์ด คงติดอันดับอยู่ถึงห้าปี แต่ก็ทำได้สูงสุดแค่อันดับสอง

12 ก.พ. 1972
เพลง”แบล็ก ด็อก”ติดอันดับที่ 15

15 ก.พ.1972
เพลง”ร็อก แอนด์ โรล” ติดอันดับ 47

29 ธ.ค.1973
เพลงฮิต “ดี เยอร์ เมค.เกอร์” ติดอันดับ 20

3 พ.ค.1974
เลด เซพพลินนำสินค้าใหม่ออกจำหน่ายในปก”สวอน ซอง” จำหน่าย

22 มี.ค.1975
อัลบัม ฟิสิกคัล แกรฟฟิตติ ซึ่งเป็นอัลบัมคู่ติดตารางอันดับ 1 ในช่วงการวางแผงแค่สองสัปดาห์ ติดนานถึง 6 สัปดาห์

29 ม.ค.1975
วงเลด เซพพลิน กลายเป็นวงที่มีอัลบัมติดตารางพร้อมกันถึงหกชุด คือ เลด เซพพลิน ทั้งสี่ชุด และ”ฟิสิกคัล แกรฟฟิตติ” หมายเลข 1 และเฮาส์ ออฟ โฮลี”

17 พ.ค.1975
เพลง”เทรมเปด อันเดอร์ ฟุต”ติดอันดับ 38

5 ส.ค.1975
โรเบิร์ต แพลนท์และภรรยาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์จากการพักผ่อนที่กรีซ ไอซ์แลนด์

20 ต.ค.1976
ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับวงเลด เซพพลิน ชื่อ”เดอะ ซอง รีเมน เดอะ เซม” ฉายรอบปฐมทัศน์ในนิว ยอร์ก

7 ส.ค.1979
อัลบัมจากสตูดิโอชุดสุดท้ายของวงเล็ด เซพพลิน”อิน ทรู ดิ เอาท์ ดอร์” ติดตารางอันดับหนึ่งในอังกฤษ

8 ส.ค.1979
“อิน ทรู ดิ เอาท์ ดอร์” อัลบัมที่ทำงานนานถึงสามปีวางแผงจำหน่าย เพลงติดตารางท็อปถึง 7 สัปดาห์กลับกลายเป็นเพลง”สวอน ซอง”ของพวกเขา “เพลง ฟุล อิน เดอะ เรน” ติดอันดับ 21

25 ส.ค.1980
มือกลองเสียชีวิต

4 ธ.ค. 1980
ยุบวงเนื่องจากขาดมือกลอง

13 ก.ค.1985
ฟิล คอลลินส์ มาเป็นมือกลองให้เลด เซพพลินที่รวมตัวกันอีกครั้งในคอนเสิร์ต ไลฟ์ เอด ในฟิลาเดลเฟีย

14 พ.ค.1988
เลด เซพพลินกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง กับเจสัน บอนแฮม(ลูกชายของจอห์น บอนแฮม) ในคอนเสิร์ต ไลฟ์ เอด ที่ฟิลาเดลเฟีย

14 พ.ค.1988
เลด เซพพลิน กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง กับเจสัน บอนแฮม ในคอนเสิร์ต 40 ปี ของแอตแลนตา เร็กคอร์ด ที่เมดิสัน สแกว์ที่นิวยอร์ก

13 พ.ย.1990
ซีดี สี่ชุด และหก ลองเพลย์อัลบัมในรูปบรรจุกล่อง วางแผง ติดอันดับ 18 ในตารางอัลบัม และจำหน่ายได้มากกว่าหนึ่งล้านชุด ทำประวัติศาสตร์”บ็อกเซ็ท” อีกในวงการ ร็อก แอนด์ โรล

11 ก.ย.1993
บ็อกเซ็ท 10 ชุด ในสตูดิโอที่สมบูรณ์วางตลาด

12 ต.ค.1944
สารคดีแสดงสดของการกลับมารวมตัวระหว่าง จิมมี เพจ และโรเบิร์ต แพลนท์ บนเวที ออกอากาศทาง เอ็ม ที วี ในรูปของดนตรีอะคูสติก เป็นการร่วมมือทำงานใหม่ของทั้งสอง

26 พ.ย.1994
“โน ควอเตอร์”โดยเพจ และแพลนท์ ติดอันดับตารางที่ 4

12 ม.ค.1995
ได้รับคัดเลือกชื่อเข้า หอเกียรติยศ ร็อก แอนด์ โรล ฮอล ออฟ เฟม

18 พ.ย.1997
การแสดงสดที่ สถานีวิทยุ บี บี ซี ในอังกฤษ ตั้งแต่ปี 69-71 สอง มีซีดีอัลบัมวางแผง

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE