เดอะ เน็ก โชว์ “วิทยานิพนธ์ความรัก ฉบับผู้ชายปากจัด


ใครก็ตามที่มักเลือกวิธีพักผ่อนอยู่บ้านในวันว่าง ด้วยการปล่อยให้ความบันเทิงจากรายการทีวี หรือเกมส์โชว์ มาบำบัดความเหนื่อยล้าให้คุณ คงต้องป๊ะหน้าผู้ดำเนินรายการลีลากวนบาทาขั้นรุนแรงมาก ถึงมากที่สุด นามว่า “เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” หนุ่มอารมณ์ดีวัย 40 กะรัตต้น ที่เด็กเพิ่งหัดพูด รวมถึงคนหัวหงอก เรียกว่า “น้าเน็ก” เป็นแน่
แต่เปล่า! Taste ไม่ได้มาคุยกับผู้ชายคนนี้เรื่องการวางมือจากจอทีวีหรอก เพราะเขามีอะไรให้ต่อปากต่อคำมากกว่านั้น โดยเฉพาะเรื่องสาวๆ
จะว่าไปแล้ว นอกจากหน้าที่พิธีกร ที่ดูเหมือนเขาจะอำนวยความสะดวกให้หนุ่มสาวได้กัน ในรายการจับคู่ที่คนดูกันทั้งประเทศแล้ว เขายังเป็น guru เรื่องความรัก ให้ผู้ติดตาม (follower) อีกกว่า 3 แสนคนผ่านทาง twitter อีกด้วย หลักฐานชิ้นสำคัญนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ของความตลก กวนประสาท หยาบคาย ของเขาเป็นเพียงแค่สิ่งที่ห่อหุ้มภายนอกเท่านั้น
Taste ฉกชิงตัว “น้าเน็ก” มานั่งสนทนากันในช่วงเวลาที่เขาเพิ่งจบมื้อกลางวัน (ข้าวสุกยังไม่ทันเรียงเมล็ด)และเตรียมถ่ายรายการต่อ แม้จำนวนนาทีจะน้อย แต่มั่นใจเถอะว่า มันจะทำให้คุณรู้จัก มุมมองความรักของพิธีกรปากร้ายคนนี้ มากกว่าคำสบถที่พรั่งพรูออกมาแบบกรรมการกดคะแนนไม่ทันก็แล้วกัน
คำเตือน : ผู้ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี โปรดอ่านบทสัมภาษณ์ในความดูแลของผู้ปกครอง ส่วนผู้ปกครองก็ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
อนึ่ง TASTE ไม่สนับสนุนการใช้คำหยาบ แต่เพื่อความครอบคลุมบริบท ตัวตนของน้าเน็ก เราจำเป็นต้องคงคำไม่สุภาพบางส่วนไว้

มีอะไรเปลี่ยนแปลง กับหลักกิโลฯในวันเกิดที่เพิ่งผ่านไปบ้าง?
เพิ่งอายุครบ 43 ปีไปฮะ ผมว่าผมอยู่ในขวบวัยที่กำลังเจ๋งเลย ผมอายุมาก แต่ผมไม่รู้สึกว่าผมแก่นะ เพราะในปีนี้ ผมขอเรียกมันว่าเป็นปีสุดท้ายฮะ มันเป็นปีที่ผมประกาศลาออกจากทุกรายการที่ผมทำ เดือน ก.พ.55 นี้หลายรายการเริ่มมีผลละ
คงยังเหลืออีก 2 รายการคือ take me out thailand กับ thailand got talent ที่จะยาวไปจนจบ serason ที่สอง แล้วก็จะทำเดี่ยวไมโครโฟนครั้งที่ 5 ซึ่งก็เป็นครั้งสุดท้าย รวมถึง twitter เดี๋ยวครบทวิตที่ 5,555 ก็จะเลิกทวีตละ
ปีนี้เป็นปีผลัดใบทิ้ง เพื่อที่จะ รีเฟรชตัวเอง แล้วก็อาจจะเริ่มต้นอะไรในแบบใหม่ๆฮะ หลายหลายโปรเจกต์ก็จะเริ่มในแบบใหม่ๆ งานในแบบใหม่ๆ กำลังเตรียมอยู่ครับ จะทยอยแจ้งให้ทราบเรื่อยๆ
คืองานผมเนี่ยผมเปรียบมันเหมือนการปีนเขา มันสนุกตอนปีนครับ ไม่ได้สนุกตอนยืนบนยอด เหมือนเอเวอเรสต์เนี่ย อาจจะใช้เวลาปีน หรือเตรียมตัวทั้งชีวิต แต่เวลาเราขึ้นไป summit บนยอดเนี่ย ยืนกันไม่เกิน 10 นาทีหรอกฮะ แล้วเดี๋ยวก็ลง แล้วก็หาเขาปีนใหม่ ผมก็เหมือนกัน ผมอยากจะลงจากยอด แล้วก็จะปีนใหม่ อยากเอาใหม่
ที่ผมบอก ผมไม่รู้สึกว่าแก่ เพราะผมเลิกโตตั้งแต่อายุ 17 แล้ว ความคิดจิตวิญญาณผมหยุดโตตั้งแต่ตอนนั้น นั่นหมายความว่า ผมแม่งใช้ชีวิตไม่เข้า safe zone นะ ผมไม่เกษียณนะ ทุกอย่างที่เป็น success ผมกล้าเริ่มใหม่ แบบเด็กๆอะ เอาใหม่ๆๆ !
ย้อนไปช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่น ช่วง 0-20 เนี่ยเป็นช่วงเวลาที่ผมเก็บเนื้อเก็บตัวมาก อยู่กับตัวเอง ไม่กรี๊ดนักร้อง ไม่มีเพื่อน เป็นช่วงเวลาที่ผมเก็บข้อมูล ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือมาก แล้วก็รอวันที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ ผมเตรียมตัวกับการเป็นผู้ใหญ่ค่อนข้างมากนะ อาจจะเป็นกรอบที่พ่อ แม่ เค้าบังคับไว้แบบนั้น แต่ผมก็คิดว่าโชคดีนะ คนเราเนี่ย พอเป็นเด็กแล้วได้รู้จักตัวเอง ได้บอกตัวเองแน่ๆว่า กูจะโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน มันทำให้โตแบบมีแนวทาง
เด็กบางคนแม่งสนใจแต่สิ่งรอบข้าง พอถึงเวลาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไอเหี้—ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย กูมาตามวัย โตมาตามสเต็ป ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะเป็นผู้ใหญ่แบบไหนเลย มันก็เลยทำให้เด็กสมัยนี้ตอบตัวเองไม่ได้ว่าโตขึ้นกูอยากเป็นอะไร ที่เรียนๆอยู่ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่ากูจะไปทำห่าไรแดก

แล้วมันต่างกันเยอะไหม วันนี้ที่น้าเป็น กับที่คิดไว้ก่อน ?
ฝันผมเป็นจริงมานานแล้วครับ เพราะผมฝันง่ายง่ายว่า อยากอยู่กับสิ่งที่ผมรัก สิ่งที่ผมชอบ แล้วมันเลี้ยงตัวได้ ฝันผมเป็นจริงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่สิ่งที่รักชอบ ก็เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อย เป็นสิ่งที่ยากขึ้น ใหญ่ขึ้น เรื่อยๆ ตามเวลากับความรับผิดชอบ

ทำไมน้าถึงไม่มีข่าวกับผู้หญิงเลย ?
อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้สนใจผู้หญิงในวงการบันเทิงเลย ผมทำงานกับผู้หญิงเยอะมากนะ ระดับนางเอกหลายคน แต่ผมเป็นคนชัดเจนในเพศตรงข้ามมาก คือถ้าไม่ได้คิดกับเค้าในเชิงชู้สาวเนี่ย ก็จะแสดงออกชัดเจน ไม่ก้อล้อก้อติก ไม่กะลิ้มกะเลี่ย มันก็ไม่ได้นำมาซึ่งประเด็นในการเป็นข่าว
ไม่ได้ว่าคนอื่นนะครับ แต่คนอื่นบางคนเค้าอาจจะดู nice ซึ่งก็อาจจะเป็นประเด็นได้ว่า คิดอะไรกะเค้ารึเปล่า แล้วมันก็ชวนให้เป็นข่าวเท่านั้นเอง

ผู้หญิงในวงการไม่ใช่สเป็ค…สเป็คน้าเป็นไง ?
จริงๆแล้วที่บอกว่าผู้หญิงในวงการไม่ใช่สเป็คผม อาจจะดูเป็นคำอธิบายที่คลุมเครือไปซะหน่อย อย่างเช่นหลายคน หน้าตาคนนี้ก็ชอบ คนนั้นก็ชอบ แต่เพียงแต่ว่า ผมทำงานในวงการนี้ก็จริง แต่ว่าผมก็ไม่ได้ทิ้งชีวิตทั้งหมดไว้ที่นี่ เพื่อนฝูงที่ผมมี ไม่มากซักเท่าไหร่นัก ส่วนมากก็จะไม่ใช่คนเบื้องหน้าที่เป็นที่รู้จัก
นั่นหมายถึงว่า สาวๆในวงการบันเทิงจึงไม่ได้อะไรที่ผมอยากจะคบเป็นแฟน ไม่อยากจีบ เป็นลักษณะแบบนั้น

น้าน่าจะถึงช่วงวัยที่มีครอบครัวแล้ว ทำไมยังไม่มี?
คือผมเชื่อว่า มนุษย์มีสิ่งที่พิเศษมากกว่าสัตว์อื่นตรงที่ เราเกิดมาพร้อมสิ่งที่เรียกว่า “เจตจำนงค์อิสระ” คือสัตว์เนี่ย มันต้องอยู่โดยรับใช้สัญชาตญานของมัน คือต้องสืบพันธุ์ ขยายพันธุ์ มันไม่ได้ดูนิสัย อย่างเช่น นก เวลามันจะจับคู่กัน มันก็ไม่ได้ดูว่าอีกตัวนึงจะชอบกิ่งไม้เหมือนกันรึเปล่า นึกออกมั๊ยฮะ ปลามันก็ไม่ได้เลือกคู่ ที่ชอบว่ายลอดโขดหินเหมือนกัน
แต่มนุษย์เราเนี่ยไม่ใช่ เราเลือกคู่โดยมีนัยยะมากกว่านั้น บางครั้งเราเลือกคู่แบบชอบคนที่ฟังเพลงเหมือนกัน กินอาหารเหมือนกัน มี life style เหมือนกัน มีนิสัยใจคอเข้ากันได้ ซึ่งเรามาพร้อมเจตจำนงค์อิสระที่จะจับคู่ และมีเงื่อนไขที่มากกว่าสัตว์ ซึ่งถ้าเรายังไม่เจอคนที่เรารู้สึกว่าใช่ เราก็ไม่คิด เราก็ไม่จับคู่ก็ได้
อีกอย่าง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นพ่อเป็นแม่คนได้ ที่ควรจะมีลูกมีเต้า ที่จะมีครอบครัว ที่จะเป็น family man ไม่ใช่ทุกคนที่สมควรจะเป็นพ่อ แต่เพียงว่า โดยระบบสังคมเรา คิดเอาว่า อั่ยเหี้—พอถึงเวลาหนึ่งมึงต้องแต่งานเว้ย ถ้ามึงไม่แต่งแปลว่า มึงแม่ง loser อั่ยเหี้ย ชีวิตมึงแม่งไม่มีใครเอา แม่งล้มเหลว ไม่มีลูกมีเต้า แก่มาไม่มีคนสืบสกุล มึงก็จะกลายเป็นไอแก่ที่ไม่มีใครเผากงเต็กให้มึง มึงแก่ตายคงจะเป็นงานศพที่เหงาๆมาก หารู้ว่า มันไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับเป็นพ่อคน ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะที่จะเป็นผัวเป็นเมียใคร นี่ไงฮะ คนเรามี ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมาก ผมก็เลยไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกฎนี้
คนถามผมว่า อายุปูนนี้แล้ว ทำไมยังไม่แต่งงาน ผมก็บอก อันนั้นเป็นปลายทางที่ทุกคนต้องเป็นรึเปล่าวะ คิดกันเอาเองว่า ทุกคนแม่งต้องผ่านระบบการศึกษา ต้องจบปริญญาตรี เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องมีบ้านเล็กๆสักหลัง ต้องมีรถสักคัน มีเงินฝากในธนาคารประมาณหนึ่ง เฮ้ยไอ้เหี้—จริงหรอวะ ทำไมกรอบชีวิตของเรามันง่ายขนาดนั้นกฎระเบียบของสังคมที่จำกัดว่า คนเรามันต้องเป็นอย่างนั้น มันไม่มีอิทธิพลกับผม
ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างผมนะ แต่ก็ยังมีคนอีกส่วนที่คิดว่า สัดเอ้ย 30 แล้วกูยังไม่ได้แต่งงานเลย ทำไมกุ loser อย่างงี้วะ งานแต่งครั้งใดเป็นได้แค่แขกรับเชิญ รับดอกไม้มาไม่รู้กี่ช่อ จนแทบจะจ้างร้านดอกไม้ ปา ดอกไม้ใส่อยู่แล้ว…. ไม่!! อย่าไปคิดอย่างนั้นครับ มันไม่ใช่ เราไม่ใช้สัตว์ที่จำเป็นจะต้องจับคู่ขยายพันธุ์ เมื่ออายุครบกำหนด
หลายคนพยายามเดินเข้าไปตามกรอบกรอบนั้น จริงๆแล้วไม่ได้ถามตัวเองเลยว่าคนอย่างมึงอ่ะ เป็นพ่อเป็นแม่คนได้จริงเหรอวะ คนอย่างมึงแม่งพร้อมดูแลครอบครัวเหรอ
นี่ไงครับผมถึงขอใช้สิทธิ์ในการเป็นคนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยการมีเจตจำนงค์อิสระ ถามว่า แต่งงาน มีครอบครัววันนี้แล้วชิบหายอ่ะ จะแต่งหรอ ถูกไหมฮะ อย่างผมเนี่ย แต่งตอนนี้ผมชิบหายแน่ ผมออกจากบ้าน 7 โมงเช้า ผมเลิกงานตี 2 ทำงานทุกวัน อยู่ออฟฟิศมากกว่าบ้าน แม่ผมแทบจะเสพยา หมาผมแทบจะดมกาวอยู่แล้ว จะเอาปัญญาไหนไปเป็นแฟมิลี่แมน เอาปัญญาไหนไปมีลูกมีเต้า จูงลูกไปปืนรถถัง พาไปเล่นบ้านบอลวะ นี่ง่ะ!! สังคมแม่งสรุปง่ายๆว่า อายุเท่านี้มึงต้องแต่งงาน ถ้าไม่แต่งมึงผิดปกติ หารู้ไม่ว่าชีวิตคนเรา มันมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกันเว้ย
ผมถึงบอกว่า กรุณามองไปที่ชีวิตของคุณเอง แล้วดีไซน์มันอย่างแบบที่คุณเป็น อย่าเดินเข้าไปในกรอบกรอบเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก เรามีเจตจำนงค์อิสระ แล้วชีวิตเรามันจะง่ายกว่านั้นเยอะ

แสดงว่าตอนนี้น้าเน็คก็ดีไซน์ตัวเองให้เป็นแบบนี้ ยังไม่เจอคนที่ใช่ เลยไม่ได้คิดว่าจะต้องมี?
จริงๆแล้วตอนนี้มีคนที่ผมรักเค้า คบหาดูใจ ชอบพอกัน เข้าอกเข้าใจกัน แลัวเค้าก็ไม่มานั่ง force ผม ว่าเมื่อไหร่จะตบจะแต่ง จะต้องมีลูกมีเต้า อะไรอย่างนี้ครับ แน่นอนชีวิตทุกคน เรามีคนที่รักเค้า ชอบเค้า กอดเค้าได้ ถูกเนื้อต้องตัว เห็นกันยามโป๊ได้ มีครับ
แต่มันไม่ใช่ใครจะมาถามผมด้วยคำถามตื้นๆว่า เฮ้ยเน็ค เมื่อไหร่แต่งงานวะ ผมก็จะถามกลับไปว่า วัดจากมาตรฐานไหนล่ะ บางครั้งเราเอามาตรฐานของคนส่วนใหญ่ ตัดสินคนส่วนรวมไม่ได้
ผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อยนะ เรื่องยิ่งใหญ่หลายๆเรื่องในโลกนี้ มันเกิดจากคนส่วนน้อยทั้งนั้นนะ ไอสไตน์ก็คิดสัมพันธภาพคนเดียวนะ เอดิสันก็ทำหลอดไฟคนเดียว มีไอ้พี่น้องตระกูลไรท์นั่นแหละเสือกทำเครื่องบินกัน 2 คน
บางครั้งคนอาจรู้สึกแปลกใจ ที่คุณกลายเป็นคนส่วนน้อย ทำไมเค้ามีครอบครัว มีลูกกันแล้ว…เราล่ะ ผมกำลังจะบอกว่า เออ ถ้าคุณเป็นคนที่มีการงานเป็นเวลา เริ่มงาน เลิกงานแน่นอน แล้วคุณก็เป็นคนรักเด็กซะเต็มประดา คุณก็มีไป ผมส่งเสริมและเห็นด้วย แต่อย่าไปเหมาเอาว่า มันเป็นแบบที่ถูกต้อง ซึ่งผมก็ไม่ได้จะบอกว่า เฮ้ย!มาเป็นแบบผมกันเหอะ มาเลิกงานตีสอง ออกบ้านเจ็ดโมงเช้ากันเหอะ มาไม่มีครอบครัวกัน มันไม่ใช่! เพียงแต่ว่าเรามองไปยังผู้คน แล้วบอกว่าเราต้องทำความรู้จักใคร หนึ่งคนต่อหนึ่งแบบจริงๆ

คิดว่าทำไมรายการ take me out thailand ถึงเลือกน้ามาเป็นพิธีกร?
ที่เป็นรายการอินเตอร์เนชั่นแนลรายการที่ 2 ที่ใช้บริการผม รายการแรกเป็น thailand got talent ผมคิดว่าเพราะผมมีสไตล์ที่ชัดเจน แล้วมีความเป็นไทยสไตล์ ที่สามารถนำรายการที่เป็นรายการอินเตอร์ มาเล่าด้วยวิธีการแบบไทยสไตล์ได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้ไปทำลายไบเบิ้ลของรายการนั้น ผมคิดว่าผมเป็นพิธีกรที่รับมือได้ และชำนาญเรื่องการจัดการคนหมู่มาก
แล้วอีกประเด็นนึง ผมมีความเข้าใจในแง่ของการจีบกันของคนหนุ่มสาว คือมันต้องเป็นคนที่รู้ว่าควรจะโยนไม้ขีดลงไปตรงไหน รู้ว่าควรจะพูดเรื่องนี้ เสี้ยมเรื่องนี้ หรือกลบเกลื่อนเรื่องนี้ เป็นคนที่อยู่ท่ามกลางคนจีบกันได้ดี น่าจะเป็นเหตุผลที่เขาเลือก

หลังจากที่อยู่ท่ามกลางหนุ่มสาวจีบกัน มีมุมมองยังไง?
ผมรู้สึกว่าผมโชคดี ที่ทันในยุคที่เขียนจดหมายหากัน เปิดแมกาซีนแล้วเป็นเพื่อนกันทางจดหมาย เอาแป้งโรยลงไปแล้วส่งหากัน ยังโชคดีที่จีบสาวด้วยการกำเหรียญหยอด ยังโชคดีที่ทำไรเท่ๆด้วยการดีดกีตาร์ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ ผมยังทัน ยังโชคดีที่เฝ้าโทรศัพท์บ้านแล้วคุยกันโดยที่กลัวพ่อแม่แอบฟัง ผมยังโชคดีที่โทรไปหาหญิงโดยเตรียมว่า ถ้าพ่อเค้ารับ กูต้องบอกว่าส่งแก้ส ถ้าแม่รับกุต้องแอ๊บกะเทย ยังโชคดีที่เดทแรกคือการ เจอตัวกันเป็นๆ ได้พูดได้เห็นหน้าเห็นตากัน ไม่ใช่เป็นตัวหนังสือตะดึ๊งๆ ผมยังโชคดีที่ได้เพจหาหญิงแล้ว ต้องเขินโอเปอเรเตอร์ ต้องอายมัน พอเพจเสร็จจะได้ยินเสียงโอเปอเรเตอร์มันหัวเราะฮิ๊ๆ อิสัด ขำเหี้—ไรกูจีบกัน (ฮา)
ผมยังโชคดีกว่าคนสมัยนี้ เพราะว่า เดี๋ยวนี้ต้องดู facebook ในโซเชี่ยลเนตเวิร์ค อ่านตัวหนังสือกันก็ชอบกันละ แล้วพอมาเจอกัน ไอ้เหี้— โวหารที่มึงเขียนเป็นตัวหนังสือ ไม่เห็นออกจากปากมึงเลย แล้วก็ได้แต่ผิดหวัง
บางคนกล้าเขียนแต่ไม่กล้าพูด คนสมัยนี้พูดกันยาก จีบกันยากขึ้น เชื่อมั๊ยฮะ เมื่อปีที่แล้วธุรกิจการจัดหาคู่ เติบโตหลักพันล้านเลย แปลว่า คนเราเริ่มมองการจับคู่เป็นเรื่องสำเร็จรูป แค่บอกสเป็คตัวเองไปที่บริษัท แล้วเค้าก็จับแมชกัน ผมว่าแม่งน่าเศร้าว่ะ
แต่ผมไม่ได้ดูแคลนเค้านะ ก็เกิดมาในยุคนี้ เกิดมาในยุคที่เปิดเฟสบุ๊คเห็นใครน่ารักหน่อยก็แอดเข้าไป แล้วก็บรรยายโวหาร อีกมือนึงก็อาจจะถือหนังสือกลอนของใครก็ไม่รู้อยู่ แล้วเจอกันก็จีบกันไม่เป็น จีบกันไม่ได้ ก็ยุคสมัยมันเป็นแบบนี้นี่หว่า คนที่เค้าโบราณกว่าผมเค้าอาจจะใช้วิธีตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำก็ได้ คนเราเนี่ยเป็นเจ้าของยุคสมัยที่เติบโตมา ไม่ใช่ความผิดของเค้า แต่ถ้าเทียบกัน ผมชอบยุคของผมว่ะ

ถ้าเอา 2 ยุคมาเทียบกัน น้าว่ามันดี ด้อย ต่างกันยังไง?
ง่ายๆเลย ยุคเด็กยุคนี้คงไม่มีใครเอา กีตาร์มาเล่นในตู้โทรศัพท์สาธารณะ เพราะมันมี youtube ไง ถ่ายคลิบดิ๊ ก็มันมีแบบนี้แล้วนี่ แต่ผมคิดว่า ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมทำมา ผมชอบของผมว่ะ คิดถึงภาพตู้โทรศัพท์ ริมถนน มุมไกลๆ รถน้อยๆ มีแสงไฟจากตู้โทรศัพท์ glow ขึ้นมา แล้วก็มีเรายืนเล่นกีตาร์อยู่ มีหนังสือเพลง มีเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ เพราะหยุดดีดไปหยอดเหรียญ ตอนจังหวะที่มันเตือนว่าเหรียญกำลังจะหมด ผมว่ามัน คลาสสิคอะ

คือถ้าน้าเน็กเป็นวัยรุ่นสมัยนี้ ก็คงไม่ได้รังเกียจวิธีการแบบนี้?
ถูกต้องครับ! คืออาจจะโชคดีมั้ง ผมเกิดก่อน ผมมีทางเลือกมากกว่า ผมก็เลยเลือกได้ว่าผมจะชอบ รึไม่ชอบ แต่เด็กสมัยนี้เค้าเลือกไม่ได้อะ เกิดมาแบบนี้ ใครเค้าทำกันแบบนี้
แล้วก็รักชอบกันด้วยการอ่านตัวหนังสือ พอเจอกันแล้วไม่รู้จะคุยอะไร ผมเห็นมาเยอะ บีบีคุยกัน เฟสบุ๊คคุยกัน พอเจอกันแล้วไม่รู้จะคุยอะไร เพราะบางทีเนี่ย คุณรู้จักกันไปไกลกว่าที่คุณควรจะเป็นแล้ว เพราะตอนคุยบีบี หรือคุยแชตกันเป็นเดือนๆ แม่งแสดงความรู้สึกอะไรไกลเกินกว่ากายภาพอะ หน้ามันยังไม่เคยเห็นเลย
อย่างเช่น สมมติว่าผมเดท กับคุณเนี่ย ผมยังไม่เคยเห็นเลยว่า คุณจะมีเหงื่ออออก ตรงหน้าผากหน่อยๆ หรือคุณเคี้ยวหมากฝรั่งจ๊อบแจ๊บ หรือคุณมีแมลงวันตอมหัวเข่าคุณอยู่บ่อยๆ อาการแบบตัวเป็นๆ เจอกันเป็นๆ แต่คุณดันรู้จักกันไปไกลเกินกว่า ด้วยการอ่านข้อมูล มันก็เลยเกิดอาการ “ย้อนแย้ง” เว้ย คือมัน เหมือนจะรู้จักกัน แต่มึงไม่รู้จักเค้าเลย
อย่างเวลาคุณกับผมรู้จักกัน แล้วบีบีเล่นกัน คุณจะนึกเสียงผมออกเวลาคุณอ่านข้อความผม แต่ถ้ามึงรู้จักกันในนั้น มึงอ่านตัวหนังสือ อ่านวิธีคิดของเค้า แล้วมันไม่มีเสียงเลย เราไม่มีทางรู้เลยว่านี่คือ ปฏิภาณรึเปล่า ตัวตนรึเปล่า ปรุงแต่ง ตัดแก้รึเปล่า รู้รึเปล่าว่า กว่าข้อความนี้จะส่งมาถึงมึง มีการตัด แก้ ลบ delete ไปแล้วกี่รอบ ขโมยคำคมของคนอื่นมาป่าววะ
แต่การคุยกันเนี่ย มันคือการเจอกันต่อหน้าต่อตาเนี่ย ถ้าคุณเป็นคนตลก มันคือเกิดจากปฏิภาณอะ เป็นเหตุซึ่งหน้าถูกมั๊ยฮะ แต่การจีบกันใน โซเชี่ยลเนตเวิร์ค แม่งมุข set อ่ะ บางทีคุยกันมาเป็นเดือน พอมาเจอกัน มึงแม่งแปลกหน้านี่หว่า ผมก็เลยไม่เข้าใจว่า คนสมัยนี้รับกับความย้อนแย้งแบบนี้ได้ยังไง แต่มันคงมีอะไรบางอย่าง ที่โอเค ถ้ามันไม่ดี คนเค้าคงไม่ทำกัน สุดท้ายผมถึงโยนเป็น “ความไม่เข้าใจ” ของผมแล้วกัน ว่ามันดียังไงวะ ทำไมเค้าทำกกันทั่วบ้านทั่วเมือง พอผมพูดไปมันก็เหมือนคนแก่หัวโบราณคนหนึ่งที่แม่งติดยึดกับยุคสมัยของตัวเอง

อย่างน้านี่เรียกว่า ผู้ชายเจ้าชู้ รึเปล่า?
เอ่อ… ผมว่าผมไม่เจ้าชู้นะ ผมไม่ล้อเล่นกับความรู้สึกคน ผมไม่ใช้ผู้หญิงเพื่อสร้างความภูมิใจให้กับตัวเอง ว่า กูจีบได้ กูแจ๋ว กุเหนือที่ทำให้ใครมาศิโรราบกับกูได้ ผมไม่ได้หาความภูมิใจจากการจีบผู้หญิง แล้วผมชัดเจน ผู้หญิงอยู่กับผม ไม่ต้องตีความเลย เอ๊ะเค้ามายังไงกะกุนะ จีบกูรึเปล่า เพราะจะรู้เลย ว่าชอบ หรือไม่ได้คิดอะไร
แล้วก็ ผมแม่งมีมนต์วิเศษบางอย่าง คือ ผมพูดอะไรก็ได้ พูดออกไปแม่งบวกหมดอะ อย่างเช่นเจอน้องคนนึง แม่งหุ่นดี นมบึ้มเลย แต่หน้าเหี้ยมากเลย ผมบอกว่า น้อง มึงขโมยหุ่นใครมาป่าวเนี่ย ไม่น่าจะใช่หุ่นมึงนะ มึงต้องไปขโมยนมใครมาแน่ๆ เพราะดูจากหน้าแล้ว มึงไม่น่าจะเป็นเจ้าของหุ่นแบบนี้ได้ แม่งก็สนุกสนานเฮฮา กลายเป็นว่า แม่งบวกซะงั้น แต่ผมมาคิดในใจ ไอ้เหี้—กูพูดจริงจริ๊ง กูด่ามึงอยู่
หรืออย่าง หน้าสวยมาก แต่หุ่นแบบเสียเลย ก็จะแบบว่านี่น้องขโมยหัวใครมาเนี่ย หรือ ใครขโมยหุ่นน้องไปไรงี้ แต่ก็กลายเป็นบวกไป ซึ่งนั่นผมคิดว่ามันมีมนต์วิเศษอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมกลายเป็นคนชัดเจน และ ถ้าผมชอบใคร ถ้าเกิดเค้าไม่ชอบผม เค้าก็จะกล้าบอกเลยว่าเค้าไม่ชอบผม ผมเลยไม่มีภาวะของการหน่วง ภาวะของการเอาไงกับกูวะ ผมไม่มีภาวะคลุมเครือในชีวิตเลย ผมถือว่าผมโชคดี

เค้าบอกว่า ผู้ชายตลก มักจะหญิงเยอะ แล้วน้าล่ะ?
หญิงเยอะจริงครับ แต่แบบว่า อยากใกล้เฉยๆแต่ไม่ได้อยากได้ ไม่น่ากิน หลายคนเค้าบอกแบบนั้นนะ อย่างเช่น ในปาร์ตี้กลางคืนนะ โอโห่มึงเอ้ย ไปดื่มกัน แม่งนั่งกันเป็นสิบ ฮากันเอิ๊กอ้ากๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตอนร้านเลิกเนี่ย อีคนนี้ก็มีคนมารับ ไอ้นี่ก็ไปกับอีนั่น แม่ง! เหลือแต่กูกับขวดโซดา ไอ้พวกหล่อๆ ไม่พูดเหี้—ไรเลย แม่ง มีหน้าที่มารับแล้วก็พาไปกิน บางคนเนี่ยผู้หญิงแม่งอยากกินแต่ไม่อยากอยู่ด้วย ไม่ได้อยากมี participate ไม่ได้อยากคุยเฮฮาอะไรด้วย
ผมเนี่ย ผู้หญิงอยากอยู่ด้วยเฮฮา คุยได้ทุกเรื่อง ไอ้หนวดนี่คุยได้ทุกเรื่อง แม่งรู้ทุกเรื่องจริงๆ ถามเรื่องงาน ถามเรื่องเหี้—อะไรก็ได้ ยืมตังค์แม่งยังได้เลย หากต้องการที่พึ่ง ที่พักใจเนี่ยมาทางนี้ แต่ไม่น่ากิน เหมือนความรักกับความใคร่ มันแยกกัน คนรักผมแต่ไม่อยากจะใคร่ผมสักเท่าไหร่ มันก็เลยเกิดความไม่สมบูรณ์ในตัวเอง
ที่เล่ามานี่ผมไม่ได้มีปัญหานะ ผมเฉยๆ ผมไม่ได้คิดว่าผมอาภัพอะไรเลย ผมโคตรชอบอย่างที่ตัวเองเป็น ผมว่าอย่างน้อย ในสิ่งที่ผมเป็น มันให้ความสุข ผู้หญิงเจ็ดแปดคนมานั่งกับผมมาอยู่กับผม แล้วเค้ามีความสุขเนี่ย มันสะท้อนถึงผมนะเว้ย คือถ้าเกิดเราตั้งเป้าว่าความสุขมันคือแบบนี้ ไม่ได้ตั้งเป้าที่ได้เอาหรือไม่ได้เอา ผมว่าชีวิตมันก็ไม่ได้ล้มเหลวอะไรนะ ถูกไหมฮะ

เป็นความสุขที่ได้จากความรัก ในรูปแบบที่ไม่ได้ดึงความใคร่เข้ามาเกี่ยว?
ถูกฮะ ผมมีความบริสุทธิ์ใจในการคบหาเพศตรงข้ามมากมาก มันถึงเป็นเหตุผลที่ผมไม่มีข่าวกับใคร เพราะว่า พอมันไม่ได้หวังตรงนั้น หน้ามันไม่ออกเว้ย อาการมันไม่ออก
คนที่แม่งมีปลายทางเป็นความใคร่เนี่ย มองมุมไกลแม่งก็รู้ว่า ไอ้เหี้—นี่แม่งจ้องจะเอาเค้า ถ้าแม่งงัดกระเจี๊ยวออกมาได้แม่งคงงัดออกมาแล้ว แต่ผม ไม่ได้มี goal ไปที่ตรงนั้นไงมันก็เลย ดูเจตนากันออก อย่างที่บอกผมชอบตัวเองแบบนี้จะตายห่า

เห็นใน twitter ของน้าเน็ก น้าให้มุมมองเรื่องความรักกับ follwer ได้ดีมากเลย
เกี่ยวกับเรื่องรักใคร่มันอย่างนี้ครับ หลายคนบอกว่า ผมจำกัดความ แล้วก็ให้คำแนะนำในเรื่องพวกนี้ได้ดี เพราะว่า มันเริ่มต้นในสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่น ผมสงสัยว่า ทำไมผมไม่ประสบความสำเร็จเรื่องพวกนี้เลยวะ ผมเริ่มศึกษามันอย่างเป็นหลักการ ผมพบว่าทุกเรื่องมันมีวิชาการในตัวของมันอยู่ แม้จะเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ
เรื่องความสัมพันธ์หนุ่มสาวเนี่ย จากที่ผมได้ทำการวิจัย วิทยานิพนธ์ของผม (ฮา) ผมแบ่งมันออกเป็น 2 หมวดใหญ่ คือ อารมณ์ กับ เหตุผล
เรื่องบางเรื่อง มันเกิดจากอารมณ์ พอเราพยายามหาเหตุผลมันก็ไม่ได้คำตอบ เรื่องบางเรื่องแม่งเป็นเรื่องของเหตุผล แต่ดันใช้วิธีการหาคำตอบที่ยืนอยู่บนอารมณ์ แม่งก็ชิบหาย เพราะฉะนั้น เวลาตอบคำถามในทวิตเตอร์ ผมจะวิเคราะห์แล้วว่า เรื่องนี้แม่งอารมณ์มานี่หว่า ก็เริ่มจากเตือนเค้าด้วยหลักใหญ่ก่อนว่า เฮ้ยนี่แม่งซีนอารมณ์ อย่าไปใช้เหตุผล ถ้าไอ้นี่เหลี่ยมเหตุผล อย่าไปใช้อารมณ์
คนถามมาบ่อย ทำดีชิบหายเลยทำไมเค้าไม่รักผมละครับน้า ผมตอบเลย ความรักมันไม่ใช่รางวัลตอบแทนความดี มึงคิดได้ไง อย่ามารวมกัน ทำดีแล้วอยากให้เค้ารัก มึงบ้ารึเปล่า มันสมองคนละซีกเว้ย มึงเข้าใจอะไรผิดเปล่าก็บอกให้เค้าเข้าใจ หรือ รักคนที่เค้ารักเราหรือเรารักเค้า ภูมิใจเป็นผู้ให้หรือภูมิใจเป็นผู้รับล่ะ เพื่อให้เขาถามตัวเองให้ชัดว่าเขาเป็นคนยังไง ถ้าภูมิใจในการเป็นผู้ให้ ไอเหี้—มึงต้องรักคนที่มึงรักเขา แต่ถ้ามึงสุขใจ มึงเซฟในการที่จะเป็นผู้รับ มึงสบายใจกว่า มึงก็เลือกคนที่เขารักมึง
เหตุผลก็คือการหาตัวเองให้ชัดอีกครั้งนึง คนเราแม่งไม่ค่อยสนิทกับตัวเอง ก็เลยเปิดโอกาสให้เขาได้ถามตัวเองอีกรอบนึงเท่านั้นเอง
หรือพวกลืมไม่ได้เนี่ยทำไงดี? เพิ่งตอบไปเมื่อกี๊เลย ถ้าลืมไม่ลงก็จงเปลี่ยนวิธีจำสิวะ เราเป็นเจ้าของความทรงจำเว้ย เราเป็นเจ้าของเมมโมรีในกะบาลต้องควบคุมมันได้ บางทีไอ้อาการลืมไม่ลง อาการอดีตหลอกหลอน เพราะเราปล่อยให้อารมณ์แม่งเป็นใหญ่ จัดการอารมณ์กับเหตุผลให้ดีเท่านั้นเอง หลักๆ เรื่องของความรักมีประมาณนี้
อีกเคสนึง หนูโทรไปปรึกษาแฟนเก่า แล้วแฟนใหม่เค้าโทร.มาว่า หนูทำอะไรผิดคะน้า? ไม่ผิด แต่ว่าไม่ควร ถูกไหมฮะ เพราะเราชัดเจนเลิกกันแล้ว แต่แฟนเก่าเราเค้าแสดงออกชัดเจนขนาดไหนล่ะ เราไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตใหม่ของเค้าเลย เพราะฉะนั้นถ้าแฟนใหม่เค้าโทรมาด่าคุณ แสดงว่า ไอ้เหี้ยนั่นคลุมเครือ ไปแสดงออกต่อเรา ให้แฟนใหม่เค้าไม่สบายใจรึเปล่า
วิธีการตอบคำถามในเรื่องของความรัก แค่ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเค้า แล้วสรุปกลับไปให้เค้าได้เห็นตัวเอง ซึ่งไม่ได้ชี้นำเหี้—อะไรเลย ผมเหมือนเป็นกระจก แล้วมึงมีขี้ตา ตาแม่งอยู่กับมึงแท้ๆ แต่แค่ไม่เห็นเท่านั้นเอง บางทีคนมันอยู่ในสนามมันไม่เห็นเกมส์ทั้งหมด มันอาจจะต้องใช้คนแปลกหน้า ซึ่งคือผม ช่วยบอกอะไรบางอย่าง มันเลยทำให้ผมตอบเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยๆ

ตั้งแต่ฟังมารู้สึกว่าน้าเน็กคมว่ะ?
นี่ผมไม่ได้คมเลย มันเป็น fact จริงๆ อาจจะเป็นเพราะทวิตเตอร์ แม่งจำกัด 140 ตัวอักษร รวมคำถามที่ถามมาแม่งก็หมดไปครึ่งนึงแล้ว เวลาตอบ หนึ่ง คนถามแม่งต้องเอาไปใช้ได้ สอง ไอ้คนอ่านที่เป็น observe อีกสามแสนกว่าคน อ่านแล้วมันต้องได้อะไรด้วย ทำให้เค้าได้มองไปที่ตัวเองด้วย มันไม่ใช่ทำการตอบหนึ่งต่อหนึ่ง แม่งต้องหวังผล 2 อย่าง คือ เจ้าของคำถามกับมวลชนด้วย เลยต้องคิดอะไรที่แม่งเป็น ทรีตเม้นต์ที่สุด สั้นที่สุด คือแม่งต้องคิดเป็นงาน copy write เลยนะ ผมให้ความสำคัญกับมันมาก มันเลยกลายเป็น “คมบังเอิญ” ผมแม่งไม่เคยทวีตว่า วันนี้อัดรายการ take me out thailand เหนื่อยจัง ไอ้เหี้—แม่งเสียเวลา ผมจะทวีตอะไรที่มันให้อะไรกับผู้คน

No Comments Yet

Comments are closed

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE