บุกถ้ำเสือ เถือความคิด ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขุดรากเหง้าวิกฤตการเมืองไทย

THE DARK KNIGHT OF POLITICS
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

หากวงการฟุตบอลระดับโลกมียอดกุนซืออย่าง Jose Mourinho เป็น ‘The Special One’ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็คงเป็น ‘The Special One’ หรือพูดให้เวอร์ไปกว่านั้นก็คงต้องบอกว่าเขาเป็น ‘The Only One’ ของวงการการเมืองไทยได้อย่างไร้ข้อกังขา

ไม่ใช่เพราะท่าทีดุดัน กราดเกรี้ยว ถึงลูกถึงคน ตรวจสอบทุกการทุจริตของนักการเมืองอย่างจริงจัง จนทำให้เขาได้รับสมญานาม ‘จอมแฉ’ และก็ไม่ใช่เพราะภาพในอดีตของ ‘เจ้าพ่อ’ แห่งวงการธุรกิจอาบอบนวด–ธุรกิจอันหมิ่นเหม่ศีลธรรมของสังคมที่ชูวิทย์บอกว่าเป็น ‘สังคมดัดจริต’ เพียงเท่านั้น

“ผมอยากออก ผมไม่อยากอยู่หรอก คุณคิดว่าเงินเดือนแสนนึงนี่ ทำให้ผมตื่นเต้นมากใช่ไหม”
นั่นล่ะคือสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่าง
‘แตกต่าง’ จากนักการเมืองคนอื่นทั้งบุคลิกและแนวคิดในการลงเล่นการเมือง
‘แตกต่าง’ ที่เขาไม่ได้โหยหา กระเหี้ยนกระหือรือ อยากนั่งบนบัลลังก์แห่งอำนาจ และพร้อมจะก้าวลงตลอดเวลา

สร้างภาพหรือเปล่า?–ใครหลายคนอาจสงสัย ด้วยทำใจให้เชื่อได้ยากว่า นักการเมืองของดินแดนแห่งนี้จะมีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ
“ทุกคนก็ต้องแสดงทั้งนั้นแหละ สามีก็แสดงให้ภรรยาเห็น ลับหลังสามีไปแสดงอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ถูกไหม อยู่ที่ว่าคุณแสดงถูกที่ถูกเวลาหรือเปล่า”
‘แตกต่าง’ ที่ออกมายอมรับอย่างสัตย์ซื่อว่า การเล่นการเมืองก็เหมือนกับละครฉากหนึ่ง

แล้วความจริงคืออะไร?
นอกจากการนั่งคุยกันยาวๆ กับลูกผู้ชายซึ่งปัจจุบันเป็นพ่อของลูกๆ ถึง 4 คน และมีประวัติชีวิตชวนหวาดเสียวนานัปการ ตั้งแต่ถูกขู่กรรโชก โดนอุ้ม หรือเคยนอนในคุกในตะรางมาแล้ว ก็คงไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะทำให้เราเข้าใกล้ความจริงของเขามากไปกว่านี้

ทุกวันนี้มันล่มสลายไปแล้วล่ะครับไอ้การเมืองไทย
ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ประคองตัวไป
ดูเหมือนช่วงหลังๆ คุณจะไม่ค่อยโผล่หน้าออกสื่อกระแสหลักมากเท่ากับการไปสวมบทเป็นนักข่าวอยู่ในโลกเสมือนอย่างเฟซบุ๊ก (เพจ ชูวิทย์ I’m No.5) สักเท่าไหร่ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ผมต้องออกข่าวใช่ไหม คนถึงจะได้รู้ว่าผมทำอะไร เพราะฉะนั้นเนี่ย มันเป็นหน้าที่ของผมจริงๆ นอกจากทำงานแล้วยังต้องประชาสัมพันธ์ คือผมทำอะไรคนจะรู้เหรอว่าผมทำอะไร ผมทำมากไปคนก็ด่า อย่างที่ผมไปเปิดเผยเรื่องบ่อนน่ะ แล้วมันแก้ไหม มันก็ไม่แก้ แล้วจะให้ผมทำอย่างไร เครื่องไม้เครื่องมือผมก็ไม่มี ผมไม่ได้อยู่ฝั่งรัฐบาล แถมผมต้องมาออกข่าวตลอด สรุปแล้วอาชีพผมนี่มีเวรมีกรรมจริงๆ คือต้องให้คนรู้ด้วย แล้วที่ผมทำไม่สำเร็จล่ะ ผมก็อยากจะพูด ทำแล้วมันไม่เอาใจใส่ มันไม่ติดตาม มันไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย คอร์รัปชันก็ยังอยู่ บ่อนก็ยังอยู่ อบายมุขอยู่ ทุกอย่างอยู่หมด แถมมากขึ้นด้วย ไอ้ผมมันพรรคเล็กไง แต่คุณเลือกผม ผมก็ไปทำงานเท่าที่ผมทำได้

คือเมื่อก่อนนักข่าวโทร.มาขอสัมภาษณ์ แล้วกว่าจะได้สัมภาษณ์ สัมภาษณ์เสร็จก็ไปเขียนถูกเขียนผิดอีก เดี๋ยวนี้เฟซบุ๊กได้เลย คนอ่านเป็นแสน รวดเร็ว ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โต้ตอบได้ถูกต้อง ดูฟีดแบ็กได้ มัน two way communication น่ะ

ทำอย่างไรถึงมีคนติดตามคุณในเฟซบุ๊กเยอะขนาดนั้น
ประเด็นสำคัญคุณต้องเข้าใจสื่อเสียก่อน ผมเปรียบเทียบว่า สื่อเนี่ยเหมือนคลื่น คลื่นแต่ละลูกที่มา สื่อก็เปรียบเสมือนคนที่เล่นวินด์เซิร์ฟ ถ้าคุณไปให้ทันคลื่น คุณจะออกมาสวย ไปได้ไกล แต่อยู่ได้ไม่นานหรอก คลื่นลูกใหม่ก็จะมาอีก เพราะฉะนั้นคุณต้องทันกับคลื่น คลื่นก็คือกระแสข่าว เขาพูดกันถึงข่าวนี้ คุณกลับไปพูดถึงอีกข่าวหนึ่ง คุณพูดให้ตายเขาก็ไม่ลง

ทีนี้ทำไมผมถึงต้องทำแบบนั้น คนบางคนอาจบอก ชูวิทย์สร้างภาพนี่ ชูวิทย์เกาะแต่กระแส ขอโทษที ผมไม่เกาะกระแส แล้วผมจะเกาะขอนไม้ที่ไหน ผมก็ต้องเกาะกระแสสิ ถ้าผมพูดแล้วไม่เอามาลง คุณก็หาว่าผมไม่ทำงาน

ภาพของนักการเมืองในอดีตกับปัจจุบันในวันที่คุณได้มาเป็น ส.ส. ต่างกันมากหรือเปล่า
ต่างกันมากครับ เมื่อก่อนเขาปิดหน้าเล่น เขาตีสองหน้า ตอนนี้ไม่ต้องตีหรอกครับ มันรู้เลยใครพวกใคร ไม่อยู่วงในมันไม่รู้หรอก อยู่หน้าคีย์บอร์ดมันก็พิมพ์ไปได้เรื่อย แต่ในสภามันไม่ได้ทำงานได้ง่ายอย่างนั้นน่ะสิครับ มันอยู่ที่ว่าคุณต้องมีพรรค ต้องมีพวก คุณต้องมีโควตา คุณต้องนับคะแนน ยกมือ นับบัตรที่เสียบ เสร็จแล้วมันจะทำอะไรได้อย่างใจปรารถนาไหม ก็ไม่ได้ แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไร ให้กลายเป็นคนดีเหรอ เดินกินข้าวคนเดียว ไม่ยุ่งกับใคร นักการเมืองเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ผมก็ไม่เคยคิด

สมัยก่อนผมเห็นคนสองคน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งคู่ ด่ากันลับหลัง โอ้โห ไอ้นี่ถ้ากูมีปืนนะ กูยิงไปแล้ววันนั้น แต่พอเจอหน้ากัน กอดกันเลย โอ๊ยพี่ ผมคิดถึงพี่จังเลย แล้วคุณดูสมัยนี้มีไหม มันไม่มีหรอก ขว้างเก้าอี้เลย ผมกำลังจะบอกว่า ยุคสมัยนี้มันไม่ใช่ยุคสมัยตีสองหน้า มันเปิดหน้าเล่น เปิดหน้าด่ากันเลย เหตุผลก็เพราะว่า ทางการเมืองเขาเรียกว่า bi-party system ซึ่งเราเลียนแบบมาจากอเมริกา มาจากอังกฤษ ยกตัวอย่างเช่น ‘เดโมแครต’ กับ ‘รีพับลิกัน’ ตอนนี้มันก็มีพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งสองข้างกันชัดเจน

จริงๆ แล้วนักการเมืองที่ดีควรเป็นอย่างไร
ผมเคยฟังนักการเมืองคนหนึ่งเขาบอกว่า ทุกวันนี้มันล่มสลายไปแล้วละครับไอ้การเมืองไทย ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ประคองตัวไป อุดมการณ์มันต้องเก็บไว้ในลิ้นชักก่อน เพราะอุดมการณ์ทำงานไม่ได้ มันเป็นเรื่องจริง ร้องให้คนอื่นเสียสละไปหมด ถามว่าแล้วตัวเองเคยเสียสละไหม บางครั้งผมสงสัยนะว่าชาวบ้านเลือก ส.ส. ไปทำไม เพราะบางคนมันก็ไม่ได้พิจารณากฎหมาย บางคนพรรคให้โหวตมันก็โหวต กินกาแฟ สูบบุหรี่กัน ถึงเวลาเขาให้กดมันก็ไปกด แล้วเลือก ส.ส. เยอะแยะไปทำไม แถมยังไปจัดการเรื่องงบประมาณ สรรหางบประมาณเอาเข้าตัวเองอีก

คือเราจะพูดว่า นักการเมืองแทบทุกคนก็จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแบบนั้นได้หรือเปล่า
คือผมจะพูดแบบนั้นมันก็คงไม่ได้ แต่ทางการเมืองเขาก็เขียนอยู่แล้วว่า การเล่นการเมืองคือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ถ้าผมไปพูดว่าไม่เห็นด้วย ก็แสดงว่าชูวิทย์ไม่เข้าใจการเมือง ถามว่าผิดไม่ผิด มันก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วละครับ เพียงแต่เมื่อก่อนชาวบ้านอาจจะไม่มีความรู้เรื่องการเมือง การสื่อสารไม่ได้รวดเร็วเท่าทุกวันนี้ แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเขาเริ่มรู้เรื่อง เริ่มทันขึ้นแล้ว ทุกวันนี้ การเมืองมันเหมือนเล่นหมากรุก แล้วเรานี่เล่นไม่เป็น เราไปดูคนเล่น มันจะเล่นจริง มันจะเล่นหลอก หรือมันจะลวงฝ่ายตรงข้ามเนี่ย เราไม่รู้เลย ทีนี้ถ้าถามว่า เราจะช่วยสังคมอย่างไร ถ้าผมตอบแบบคนธรรมดา ก็ต้องตอบว่า เราก็ต้องเป็นคนดีสิ เราต้องทำตัวอยู่ในกฎหมาย

ทุกวันนี้การเมืองมันเหมือนเล่นหมากรุก แล้วเรานี่เล่นไม่เป็น เราไปดูคนเล่น มันจะเล่นจริง มันจะเล่นหลอก หรือมันจะลวงฝ่ายตรงข้ามเนี่ย เราไม่รู้เลย ทีนี้ถ้าถามว่า เราจะช่วยสังคมอย่างไร ถ้าผมตอบแบบคนธรรมดา ก็ต้องตอบว่า เราก็ต้องเป็นคนดีสิ เราต้องทำตัวอยู่ในกฎหมาย

การที่ผมจะล้มทั้งระบบเลยเนี่ย ผมทำไม่ได้
แต่การทำตัวอยู่ในกฎหมายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนี่ครับ
ใช่ ไม่ได้ช่วย! ถ้าคุณอยากจะช่วย ก็คือคุณต้องเข้าใจเกมนี่ซะก่อน คุณเล่นฟุตบอล คุณไม่เข้าใจฟุตบอล แล้วคุณเชียร์ได้เหรอ เหมือนทุกวันนี้น่ะ คุณเห็นเขาเล่นการเมือง แล้วคุณจะช่วยอย่างไร ผมก็ต้องถามว่า คุณเข้าใจการเมืองหรือยัง คุณเข้าใจกฎ กติกาแล้วเหรอ ถ้าไม่เข้าใจ แล้วคุณจะเล่นถูกเหรอ คุณจะเชียร์ถูกคนได้อย่างไร เพราะการเมืองมันคือการหลอกลวง

ดังนั้นคนรุ่นใหม่ควรเรียนรู้การเมืองอย่างไร
ด้วยตัวเองนี่แน่นอนอยู่แล้ว อาจเป็นไปได้ที่จะเรียนรู้ผิดๆ แต่การเมืองไม่มีผิดนะ การเมืองเป็นรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร์มันไม่ใช่นิติศาสตร์ นิติศาสตร์มีมาตรา มีกฎหมาย มีกรอบ แต่รัฐศาสตร์เนี่ย คุณไม่มีผิด ขอให้คุณมีความคิดของคุณ คุณเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของคุณ คุณมีสิบห้าคน คุณก็มาตั้งพรรคการเมืองได้แล้ว ไม่ยากด้วย คนสิบห้าคนมีอุดมการณ์ตรงกัน มีความเชื่อตรงกันทางการเมือง สามารถตั้งพรรคการเมืองได้ ง่ายมากครับ ผมตั้งมาแล้วหลายพรรค ใช้เงินไม่เกินสองหมื่น

ในฐานะคนเป็นพ่อ ได้สอดแทรกความรู้ ความเข้าใจทางการเมือง หรือเรื่องประชาธิปไตยให้แก่ลูกๆ บ้างไหม
ผมสอน แต่ผมสอนไม่เหมือนคนอื่น ผมสอนก่อนเลยว่าคำว่าการเมือง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า political เนี่ย มันมาจากอะไร politics มันมาจากคำกรีก police ก็คือตำรวจ ตำรวจมีหน้าที่อะไร มีหน้าที่ควบคุม การเมืองก็เหมือนกัน คือเราตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาควบคุม คุณบอกประชาธิปไตย ผมคิดว่าไอ้ประชาธิปไตยมันเลวที่สุดเลย มันเป็นระบบที่เลว คนสองคนแข่งกันในเขต คนหนึ่งได้สองหมื่น คนหนึ่งได้หมื่นเก้า สองหมื่นมันต้องชนะหมื่นเก้าถูกไหม แล้วไอ้หมื่นเก้ามันเลวตั้งแต่เมื่อไหร่

มันก็ไม่ได้หมายถึงหมื่นเก้าจะเลวนี่ครับ ก็แค่แพ้
ก็นั่นน่ะสิ แพ้หนึ่งพัน ตกลงว่าแพ้เหรอ หรือบางครั้งผมแพ้แค่ยี่สิบคะแนนด้วยซ้ำ ก็ระบอบประชาธิปไตยมันบังคับอย่างนี้ไง มันบังคับให้คนชนะที่หนึ่งเนี่ย คือคนที่รับใช้ประชาชน และไอ้การต่อสู้ให้ไปถึงที่หนึ่ง มันต้องใช้อะไรบ้าง… เงินนี่ต้องใช้แน่นอนอยู่แล้ว และก็มีกฎอยู่สิบข้อก็คือ ฉกฉวยแย่งชิง ผูกขาด ตัดตอน ลิดรอนสิทธิเพื่อน แทงหน้าแทงหลัง หน้าด้านหน้าทน ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ได้ฝากเมียเสียฝากเพื่อน เงื่อนเวลา อ้างฟ้าดินสิ้นศรัทธา สิบข้อนี้ที่นักการเมืองต้องมี มันคือพิชัยสงครามปรมาจารย์ซุนวูเลยนะ หนึ่ง-คุณยังไม่ได้เป็น ส.ส. คุณต้องไปทำอะไรล่ะ ต้องไปฉกฉวยแย่งชิงเขา เสร็จแล้วคุณต้องผูกขาดตัดตอน คุณไปดูสุโขทัยของใคร สุพรรณบุรีของใคร แล้วก็ต้องมาลิดรอนสิทธิเพื่อน ใครจะมาแข่งกับเราไม่ได้ แล้วก็แทงหน้าแทงหลังได้ หน้าด้านหน้าทนได้ คุณเคยเห็นพลเอกยกมือไหว้สามล้อหรือเปล่า ก็ตอนเลือกตั้งนี่แหละ ไม่มีเลือกตั้งนี่คุณหาเขาเจอเหรอ นี่คือสุภาษิตที่ทุกคนต้องมี
ผมอยากจะหลับตา แล้วให้พวกนี้หายไปทั้งหมดเลย ผมไม่อยากจะเจอ ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ให้ผมทำอย่างไร ผมก็ทำไม่ค่อยได้ ในสภาเนี่ยมันมีการเมือง การเมืองเนี่ยคุณต้องรู้จักเล่น คุณเล่นไม่ถูก คุณก็ไม่โตหรอก คุณเชื่อผม อย่างไรก็ไม่โต การเมืองคุณต้องมีพวก ไม่ว่าพวกคุณจะดี หรือพวกคุณจะเลว คุณก็ต้องเอาเป็นพวกใช่ไหมล่ะ การเมืองคนเดียวได้ไหมล่ะ แล้วไอ้ประเทศนี้มันต้องมีพรรคการเมือง ผมถามว่าในโลกนี้มีกี่ประเทศที่ต้องมีพรรคการเมืองแล้วถึงจะลงเลือกตั้งได้ คุณไปถามอาจารย์รัฐศาสตร์สักคน อาจารย์เขาจะตอบคุณทันทีว่า มีอยู่สองประเทศเท่านั้นเองในโลกนี้ คือประเทศไทยกับประเทศปากีสถาน ประเทศอื่นๆ เขาไม่ต้องใช้พรรคไง ลงอิสระได้เลย นี่คือปัญหา พรรคเรายังไม่แข็งแรง เสร็จแล้วคุณสนับสนุนเหลือเกิน ใครจะลงต้องมีพรรคการเมือง พอผมจะไปลงอิสระก็ไม่ได้ ผมต้องไปตั้งพรรค แล้วตั้งพรรคก็ตั้งหลอกๆ เขา ไม่ได้ตั้งอะไรจริงจังหรอก จัดตั้งสาขาสี่สาขา เหนือ ใต้ ออก ตก ครบ มีคนหมื่นคนลงได้ เพื่อที่จะมีสิทธิ แล้วคุณก็ต้องเอาเงินภาษีคุณมาสนับสนุนผมด้วย มันถูกต้องเหรอ บางพรรคนี่เป็นพรรคหรือเปล่าผมก็ไม่รู้

ถ้าไม่มีพรรคการเมืองมันจะดีขึ้นอย่างไร
ผมว่าจะดีขึ้นในการเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ โดยที่ว่าคุณไม่ต้องขึ้นรถ คุณก็เดินได้ นั่งรถเมล์ได้ นั่งมอเตอร์ไซค์ได้ คุณไม่จำเป็นต้องมีพรรค แต่เมื่อคุณบังคับว่าต้องมีพรรค ทุกคนจะจัดตั้งพรรคขึ้นมาหลอกๆ ก็คุณไม่เห็นเหรอ เอาคนขับรถมาเป็นหัวหน้าพรรคก็มี แล้วไอ้ระบบพรรคมันช่วยประชาธิปไตยอย่างไร ทุกวันนี้คุณก็เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่ได้เป็นพรรค มันไม่ได้ใช้คนจริงๆ มันเป็น nominee คนจริงๆ มันสั่งอยู่ข้างหลัง เพราะมันโดนตัดสิทธิทางการเมือง แต่ในเมื่อเขาต้องการพรรค ผมจะไปอะไรได้ ผมเป็นแค่ฟันเฟืองเล็กๆ เหมือนเข้าไปในสภา ผมมันเสียงเดียว คุณก็รู้พรรคผมมีผมคนเดียว คนอื่นคุณจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อทุกอย่างมันต้องใช้คน จะตั้งกระทู้ก็ต้องขอคน จะเป็นกรรมาธิการก็ต้องมีโควตา คุณจะยื่นญัตติก็ต้องมีเสียงสนับสนุนยี่สิบเสียง คุณตัวคนเดียวคุณจะทำอะไรได้

ย้อนกลับไปวันแรกที่จะลงเล่นการเมือง ถึงตรงนี้ยังอยากลงเล่นอยู่ไหม
ผมคิดผิด บอกได้เลย ผมคิดผิด

แล้วทำไมถึงอยากจะลงเล่นในตอนนั้น
ก็คุณไม่เคยคิดผิดบ้างเหรอในชีวิตคุณ (หัวเราะ) แล้วคุณยอมรับว่าคุณคิดผิดไหม เด็กจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เข้ามาคณะนี้ เรียนมา 2 ปี แล้วมันบอกว่ามันคิดผิด ผมก็เป็นเหมือนกัน บอกว่า เฮ้ย ผิดไม่ได้ อ้าว…แล้วผิดไม่ได้อย่างไรล่ะ ผมก็ลองผิดลองถูก ผมจะมารับใช้ประชาชน ผมก็คิดว่าไปเป็นนักการเมือง คิดว่าเข้าไปในสภาจะทำงานได้ จะปราบคอร์รัปชันได้ จะออกกฎหมายสักฉบับ จะจับคนโกง เสร็จแล้วระบบเมืองไทยเนี่ย มันเป็นระบบที่เชื่องช้า เป็นระบบข้าราชการที่ใหญ่โต เป็นระบบที่แบ่งสัดแบ่งส่วนแบ่งอำนาจกัน ในหมู่ทั้งนายทุน ทหาร ตำรวจ ทั้งข้าราชการ ทั้งพรรคการเมือง เมื่อผมไปสอดแทรก ไปทำลายเขา ก็ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่การที่ผมจะล้มทั้งระบบเลยเนี่ย ผมทำไม่ได้ เหตุที่ทำไม่ได้เพราะอะไร หนึ่ง-ผมอาจจะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ สอง-ผมอาจจะยังใหม่อยู่ สาม-ผมอาจจะชักท้อแท้แล้ว สี่-ผมอาจตั้งคำถามว่า เอ…แล้วเราเอาเงินเรามาใช้เนี่ย เราเอาเงินทางการเมืองมาใช้ดีกว่ามั้ง ถ้าผมคิดอย่างนั้น ผมก็เริ่มโกง ผมเริ่มโกง มันก็ขัดกับอุดมการณ์

ไม่คิดจะถอยกลับหรือครับ
ไม่ใช่ผมไม่คิดจะเลิกนะ ไม่ใช่ว่าผมลาออกไม่ได้นะ อย่าให้ผมถึงจุดแล้วกัน ผมก็ไปได้เหมือนกัน คุณเห็นว่าผมไม่ทำอะไร คุณรู้ได้ไงว่าผมไม่ทำอะไร ผมทำจนผมไม่อยากจะทำแล้ว (หัวเราะ) ล่าสุดนี้โครงการโรงพัก 396 โรง เห็นแต่เสา คุณคิดดูแล้วกัน เห็นอย่างนี้แล้ว ร้องเรียนอย่างนี้แล้ว สามเดือนคุณต้องตัดสินเลย คุณดูเมืองจีน มันเอาเข้าขื่อใส่ เอาขึ้นศาลประชาชน สามเดือนต้องตัดสินเลย ไม่ใช่ตัดสินสิบปี อย่างนี้มันไม่ไหว คอร์รัปชั่นมันถึงไม่ไปไหนไง มันก็เลยเกิดแล้วเกิดอีก

แต่ทุกคนก็คาดหวังว่า สักวันหนึ่งคอร์รัปชั่นมันจะหมดไปจากประเทศนี้
ไม่มีทาง ผมยืนยัน ตราบใดที่เรายังมีระบบนี้อยู่ ถ้าคุณตัดสินภายในสามเดือน มันก็เหมือนคุณตัดสินแล้วเห็นผล แล้วคนกลัว แต่นี่คุณไม่ คุณรอเวลาให้มันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย พอสอบไปสอบมา ใช้ระยะเวลาสิบปี ทุกอย่างมันจืดจางหมดแล้ว ผมสมมุติแล้วกันนะ ผมไปที่อ่าวพร้าว เสม็ด (เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่ว) ถ้าผมไปอีกสักสิบปีมันจะเปลี่ยนไปไหม… มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าวันนี้ผมไปเลย มันก็ยังดำอยู่ ก็ถามว่าทำไมล่ะ กระแสสื่อ หรือสังคมเนี่ย มันต้องการฟีดแบ็กทันที ถ้าคุณรอไปเนิ่นนาน ทุกอย่างมันเกี้ยเซียะกันได้ และโดยเฉพาะเมืองไทย คุณก็รู้อยู่แล้วว่ามันยิ่งกว่าเกี้ยเซียะอีก ผมไม่ได้หมายถึงว่าใครจะรับเงินของใครนะ แต่ผมบอกว่าถ้าเวลามันเนิ่นนานไป กระแสสื่อสังคมทุกอย่างมันจะเบาบางลงหมด

แต่บางคนเขามองว่า การคอร์รัปชั่นบางทีมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวที่ระบบ จริงๆ แล้วมันอาจจะเกี่ยวที่ตัวคน
คุณเชื่อไหม คุณคิดว่าฝรั่งมันโกงกินไม่เป็นเหรอ คุณคิดว่าสิงคโปร์แต่ก่อนมันไม่โกงกันเหรอ คุณคิดว่าอเมริกาไม่มีโกงกันเหรอ คุณคิดว่าสมัยก่อนไม่มีมาเฟียเหรอ… มันมีหมดล่ะ สันดานคนมันเหมือนกันหมด ถ้าให้เงินคนสักหนึ่งล้านฟรีๆ แล้วคุณเอาเข้าไปในบ่อน บอกให้มันไปเล่น ร้อยทั้งร้อยล่ะ มันก็ต้องเล่น คุณคิดว่าฝรั่งเสพยาแล้วไม่เมา คนไทยเล่นยาแล้วไม่เมาเหรอ มันเมาเหมือนกันหมด แต่มันเป็นที่ระบบต่างหากล่ะ มันไม่ใช่คน ผมยืนยันว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่คุณไปบอกคนไทยชอบเล่น คนจีนไม่เล่น ฝรั่งไม่เล่น โธ่ น้อยไปละสิ มันโลภเหมือนกันหมดแหละ ดังนั้นเราต้องแก้ไขระบบ

ระบบที่ว่าควรเป็นระบบแบบไหน
เอาอย่างนี้ อย่างเรื่องปรองดองทุกวันนี้ คุณปรองดองกันไปปรองดองกันมา ไอ้พวกติดคุกก็ติดคุก ไอ้พวกจะประท้วงก็ประท้วง ไอ้พวกที่เป็นแกนนำ พวกที่อยู่เมืองนอก คุณก็อยากเลิกหมดเลย ปรองดองทุกอย่าง เลิกหมดเลย ผมถามว่าแทนที่คุณจะเลิกเนี่ย คุณตัดสินให้เร็วขึ้นได้ไหม ไอ้ที่อยู่ในคุกสองร้อยคนเนี่ย ตกลงมันผิดหรือมันถูก ถูกก็ออกมา ไอ้ผิดก็ติดต่อไป แต่ทำไมคุณไม่ทำล่ะ ก็คุณปล่อยเวลาไปอย่างนี้ รำกันไปรำกันมา ไอ้พวกสภาก็เล่นกันไป ไอ้นี่ก็อย่าประท้วง ไอ้นั่นก็ห้าม แล้วตกลงมันทำไหม มันก็ไม่ได้ทำ แต่มันไม่ทำ มันยุให้คนอื่นทำ ไอ้พวกที่ออกมาเป็นหมื่นคนตอนเดือนสิงหาเนี่ย ถามว่ารู้เรื่องไหม ไม่รู้หรอก ถามว่าอยากมีเงินไหม คุณก็ต้องยอมรับว่ามันต้องจ่ายจริงๆ ม็อบนี่อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีสตางค์ เจ็ดวันคุณออกมานอนอยู่ข้างนอกน่ะ คุณจะมีสตางค์กินข้าวเหรอ คุณกล้าเหรอ ลูกเมียคุณก็ร้อง เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องใช้สตางค์หมด

ถึงวันนี้ ถ้ามีลูกสักคนของคุณอยากลงเล่นการเมือง คุณจะสนับสนุนไหม
มันมีแล้ว คนโตผม ไอ้ต้น (ต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์) มันคิดว่าการเมืองดี มันเป็นสุดยอดของสุดยอดเลยพ่อ อย่างนั้นอย่างนี้ อายุยี่สิบห้าเมื่อไหร่มันอยากจะเล่น ผมบอกว่า เอ็งคิดให้ถูกนะ เอ็งกำลังมองเห็นบ่อนการพนัน เอ็งกำลังเห็นสถานอโคจรที่หนึ่ง แล้วเอ็งก็อาจจะคิดว่ามันดี ซึ่งก็ไม่ผิด ไม่ผิดเพราะอะไร เพราะพ่อก็คิดเหมือนกัน เพราะวัยขนาดนี้มันก็ต้องคิด โอ้โห ผู้หญิงล้อมรอบ มันจะสนุกแค่ไหน มีเงินมาคืนละล้าน แต่อย่างพ่อเนี่ย พ่อไม่อยากส่งมรดกเลือดให้เอ็ง คือไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเอ็งจะทำ จะไปห้ามอะไรได้ ห้ามแล้วมันจะฟังผมเหรอ กลายเป็นไปหาเรื่องกันเปล่าๆ อยากจะทำก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ถามว่าผมจะยกให้ไหม ผมไม่ยก บารมีเอ็งสร้างเองแล้วกัน

นอกจากเรื่องการเมือง คุณมีวิธีการสอนลูกอย่างไร
ผมตามใจทุกอย่าง คือผมเลี้ยงลูกผมไม่ได้บังคับ ผมไม่ได้บังคับว่าจะต้องไปเรียนหนัก ผมพยายามให้เขาเป็นตัวของเขาเองมากที่สุด ดังนั้นข้อนี้คือข้อที่ผมแตกต่างจากคนอื่น ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ตีเส้น ไม่ได้ขีดเส้น หรือไม่ได้ภูมิใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากไป เพราะเขาจะเสียนิสัย

แล้วจริงๆ ต้องการอะไรจากลูกๆ
ก็เหมือนกับพ่อทุกคน คือคิดให้เขาประสบความสำเร็จ คิดให้เขาเข้ามหาวิทยาลัย คิดให้เขาเรียนเก่ง หรือถ้าเกิดผมเป็นแบบคนทั่วไป ก็อยากจะให้เขาเรียนหมอ หรืออยากจะให้เขาเป็นดาราดัง ใช่ไหม… แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ พูดจริงๆ ผมไม่เคยตั้งความหวังกับเขามากเกินกว่าที่พ่อคนหนึ่งจะตั้ง ดังนั้นความฝันของผมเกี่ยวกับลูกนี่ง่ายๆ ไม่ได้ลึกซึ้ง ไม่มีอะไรสูงส่ง เขาเป็นได้เขาก็เป็น เขาเป็นไม่ได้ผมก็ไม่ผิดหวัง

ต้องเป็นคนดีไหม หรือคำว่าคนดีก็ต้องตั้งคำถามกันอีก
(ถอนหายใจยาว) ผมไม่อยากให้เขาเป็นคนดีหรอก คนดีมากไปมันอยู่ไม่ค่อยได้ในสังคมนี้ มันต้องเป็นคนที่สามารถเอาตัวรอดได้ แน่นอนละว่า พ่อทุกคนก็อยากให้ลูกเป็นคนดี แต่ว่าถ้าคุณดีเกินไปคงจะอยู่ลำบาก ก็ต้องให้เขาเป็นคนที่สามารถต่อสู้ เอาตัวรอดได้ ดังนั้นถ้าถามว่า เขาเอาตัวรอดได้ไหม เขาเอาตัวรอดได้

พ่อทุกคนก็อยากให้ลูกเป็นคนดี
แต่ถ้าคุณดีเกินไปคงจะอยู่ลำบาก
การเอาตัวรอดในสังคมทุกวันนี้ควรมีวิธีการอย่างไรบ้าง
หนึ่ง-คุณก็คงต้องทันคน คุณจะเป็นคนดีแล้วไม่รู้เรื่อง ธรรมะธัมโม สวดมนต์ เลี้ยงหมา เล่นเฟซบุ๊กแล้วนอน มันก็คงไม่ใช่ ประการที่สอง เมื่อคุณรู้ทันคน คุณต้องอยู่ในโลกสองโลก ก็คืออยู่ข้างบนกับอยู่ข้างล่าง คุณคงไม่ได้อยู่ข้างบนอย่างเดียว เพราะฉะนั้นอะไรที่คุณจะไปได้คุณก็ไป คุณอยากจะไปเที่ยวคุณก็ไปเที่ยว

อาจเพราะคุณก็เคยทำธุรกิจอาบอบนวดที่ใช้ผู้หญิงเป็นสินค้า ซึ่งมันก็ห่างไกลจากคำว่าคนดีตามบรรทัดฐานของสังคมนี้พอสมควร
คุณเชื่อไหม ฝรั่งเรียกผมว่า pimp ผมบอก เฮ้ย! คุณเรียกผิดแล้ว ผมมันป็น super pimp เข้าใจให้ถูกด้วย เพราะอะไร คุณอาจจะบอกว่าเรื่องผู้หญิงนี่เป็นโปรดักต์ ไม่เป็นไร แต่ผมบอกคุณอย่างหนึ่งนะ ผู้ชายทุกคนเคยไปเที่ยว เวลาไปเที่ยวเสร็จ ออกมา คุณเคยเห็นใครกลุ้มใจไหม ออกมายิ้มทุกคน แม้ว่ามันเสียตังค์ คุณลองเข้าบ่อนไปเสียตังค์สิ ออกมารู้เลยไอ้นี่ได้หรือเสีย คุณว่าธุรกิจที่ผมทำมันแปลกไหม ทุกคนเข้าไปเสียตังค์ แต่ออกมายิ้มกระเซ้าเย้าแหย่กัน แต่เวลาเข้าบ่อน เสียตังค์ รู้เลยคนนี้เสียตังค์ หน้าตาราศีออกเลย นี่มันเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง มันเป็นกิเลสที่ถ้าผมพูดลึกลงไป มันเป็นกิเลสที่ดีที่สุดในจำนวนกิเลสทั้งหมด

หลายคนก็มองว่ามันขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของสังคมนี้
ขอโทษทีนะ ผมอยู่บนโลกมนุษย์ ผมก็พูดกับคุณแบบคนบนโลกมนุษย์ว่า นี่มันเป็นของธรรมดา มันเป็นเทา มันไม่ได้ดำ ถ้าคุณถามผมว่า ในสังคมเนี่ยมีเทาสักกี่เปอร์เซ็นต์ ผมบอกคุณว่าเป็นเทาซะแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เป็น majority ของสังคมนี้ คุณเชื่อไม่เชื่อผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณออกไป ใครเคยซื้อหวยไหม ใครเคยกินเหล้าไหม ใครเคยโกหกไหม ใครเคยไปเที่ยวไหม ผมว่ามีเยอะกว่าคนแบบไม่เที่ยว ไม่ไปไหน กลับบ้านเลี้ยงหมา ดูข่าว สวดมนต์ แล้วนอน ผมคิดว่ามีคนที่เป็นเทามากกว่าขาว

ตลอดชีวิตของผู้ชายชื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เคยกลัวอะไรบ้างไหม
คือเมืองไทยเนี่ยมันมีกรอบมาตั้งแต่โบราณแล้ว มันมีระบบขุนนาง ศักดินา ระบบกระฎุมพีครอบเราอยู่ คุณกลัวคุณก็อย่าทำ คือประเทศไทยต้องไม่กลัว ถ้ากลัวคุณก็จะไปไม่ถึงไหน ถ้าคุณกลัวคุณก็จะอยู่ในระบบ คุณถูกครอบตลอด คุณต้องคิดอะไรที่ out of the box บ้าง

เรื่อง : ฆนาธร ขาวสนิท
**หมายเหตุ : นี่เป็นเพียงบางส่วนเสี้ยวความคิดของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในนิตยสาร mars ฉบับเดือนตุลาคมนี้

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE