'ฮิวโก้' ถามสังคมไทย…คุณทำอะไรให้ประเทศชาติดีขึ้นบ้าง


“ก่อนที่คุณจะว่าอะไรใคร คุณลองส่องกระจกแล้วลองถามตัวเองว่าเป็นประชากรที่ดีแค่ไหน คุณทำอะไรบ้างในชีวิตประจำวันที่ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น หรือคุณทำอะไรบ้างที่ทำให้สังคมยังอยู่ในสภาพเดิม”
ถ้อยคำช่วงหนึ่งจากปาก ‘ฮิวโก้’ หรือ ‘เล็ก-จุลจักร จักรพงษ์’ กับมุมมองที่มีต่อสังคมไทย เขาอาจจะดูเป็นหนุ่มหล่อเซอร์ๆ ที่ไปไหนมาไหนก็มีแต่สาวๆ ปรายตา ครบทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และความสามารถที่ถ่ายทอดผ่านผลงานบนเส้นทางสายศิลปะบันเทิงมากมาย แต่ในอีกแง่มุม ล้วงลึกสู่ก้นบึ้งของจิตใจจะมีใครทราบไหมว่า เขาคิดอะไร? แล้วในขณะที่สังคมไทยแทบจะเป็น ‘สุญญากาศ’ มุมมองของเขาสะท้อนหลายอย่างที่หลายคนฟังแล้วอาจสะท้าน…

ก่อนหน้าที่จะไปทำเพลงที่อเมริกา เคยเห็นคุณเคลื่อนไหวทางสังคมอยู่บ้าง พอไปอยู่ที่นั่นได้มองกลับมาบ้างไหม เห็นความเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่สังคมกว้างนัก จะเจอคนแค่ในกลุ่มทำงานหรือครอบครัว แน่นอนว่าเราเห็นอย่างหนึ่งคือความกล้าและความหยาบคายมักจะมาพร้อมกัน คำนี้บ่งบอกหลายอย่างเลย ถามว่าการลืมกำพืดมันดีไหม มันไม่ดี แต่คนจะต้องจำตลอดเวลาว่า ไอ้กูเนี่ยต่ำ ไอ้พวกเขาสูง ดีเหรอที่คนส่วนมากจะคิดแบบนี้ มันมีทั้งดีและชั่วในเวลาเดียวกัน เราพูดว่าอย่าลืมกำพืดนะ ใช่! คนเราควรจะจำว่ามาจากไหน แต่อย่าให้มันเป็นโซ่ ซึ่งภาษาไทยมันเต็มไปด้วยกุญแจและโซ่

เหมือนที่หยิบเอาคำว่าไพร่ หรือคำว่าอำมาตย์ มาทำให้เจ็บกัน
ใช่ มันเจ็บ เพราะมันบ่งบอกความจริงและความไม่ยุติธรรม และความไม่ยุติธรรมตรงนี้มันไม่มีใครจงใจยัดเยียดนะ มันแค่เป็นความจริงในเวลานี้ ที่คุณเกิดมาในสังคมและประเทศนี้ มันไม่มีใครมาแกล้งคุณนะ ความจริงไม่ได้แกล้งคุณ มันแค่เป็นอยู่ คุณไม่ได้ถูกรังแก เพราะคนที่ดูเหมือนมารังแกคุณเขาก็คิดว่าเขาทำถูกต้อง ทุกคนคิดว่าตัวเองถูกต้องอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าตัวเองกำลังทรยศประเทศชาติหรือว่าลากประเทศชาติไปสู่ยุคมืด คนเรามันแค่เข้าใจอะไรไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้มีสองด้านนะ มันมีด้านเดียว ด้านของความจริง

แล้วกับคำที่เราพูดกันบ่อยๆ คำว่าคอร์รัปชั่น คุณมองมันยังไง
ผมมองว่าหลักๆ แล้วในดินแดนแห่งอำนาจไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตามมันมีคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น คอร์รัปชั่นหมายถึงเรา ไม้ที่ถูกแช่น้ำมันจะแตก มันจะนิ่ม แล้วก็ถูกเซาะ คอร์รัปชั่นเป็นแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะว่ามนุษย์ยังไม่ได้พัฒนาทันโลก เรายังเป็นลิงตัวเดิมเหมือนเมื่อหมื่นปีที่แล้ว การที่เราอยู่ในอำนาจ การที่เราได้ทุกสิ่งที่ต้องการมันทำให้นิสัยเสียไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ยิ่งในประเทศเราที่มีค่านิยมบางอย่าง มีประชาชนบางคนรับสภาพและมีส่วนร่วมในระบบนี้ ไม่ว่าการจะเอาเงินยัดให้เจ้าหน้าที่เมื่อคุณทำผิด หรือการใช้เงินยัดให้เด็กเข้าโรงเรียน หรือการใช้อิทธิพลอะไรก็ว่าไป เรื่องพวกนี้เหมือนกับการตบมือ ตบข้างเดียวไม่ดังแน่นอน มันคือประชาชนที่คอร์รัปชั่นมากกว่าใคร นักการเมืองไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนเป็นแค่การสะท้อนคุณภาพของคน

เหมือนจะบอกว่า ในขณะที่เรากล่าวหาคนโน้นคนนี้ว่าคอร์รัปชั่น เราเองก็มีส่วนช่วยในกระบวนการนั้นด้วย
อย่างน้อยๆ ก็ตอนที่เราไม่ได้ยื่นมือมาขัดขวาง หรืออยู่เงียบๆ เพราะเราเรียนรู้กันมาแล้วว่าโวยวายก็ไม่มีผล และเผลอๆ อาจสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองด้วย ถ้าผมเชื่อว่าบูชายัญตัวเองแล้วช่วยทุกคนได้ ใครๆ ก็ทำกัน แต่มันไม่ใช่ ถามว่าผมยอมติดคุกเพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไหม ไม่นะ ลูกสองแล้ว
ก่อนที่คุณจะว่าอะไรใคร คุณลองส่องกระจกแล้วลองถามตัวเองว่าเป็นประชากรที่ดีแค่ไหน คุณทำอะไรบ้างในชีวิตประจำวันที่ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น หรือคุณทำอะไรบ้างที่ทำให้สังคมยังอยู่ในสภาพเดิม โอเค! เจ้าหน้าที่ผิดที่รับเงินสองร้อยที่คุณยื่นให้ ถามจริงเถอะว่าตอนไฟแดงคุณคิดจะหยุดรถบ้างไหม? ทางม้าลายคุณคิดจะหยุดให้คนข้ามหรือเปล่า? แค่อะไรง่ายๆ เรายังทำกันไม่ได้เลย ภาษีก็หลบเลี่ยงกันฉิบหาย คนธรรมดายังทำตัวคอร์รัปชั่นเหมือนโจรระดับโลก และสิ่งที่คนหลายคนอาจจะไม่ยอมรับคือ มันสะดวกมากที่ประเทศเป็นอย่างนี้ มันอำนวยความสะดวกให้หลายคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก แล้วทำไมเขาจะอยากให้มันเปลี่ยนล่ะ
บ้านเราความคิดด้านการเมืองเติบโตเยอะมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มันอาจจะดูรุนแรงโวยวายน่ากลัว แต่วันหนึ่งเราจะถอดล้อออกแล้วก็ปั่นกันคุยกันแบบผู้ใหญ่
ผมเชื่อว่านายกฯ ของเราเป็นคนมีระเบียบมีความตั้งใจ แต่มันก็เท่านั้นถ้าพวกเราไม่มีระเบียบ หรือคนไทยอาจจะไม่อยากมีระเบียบก็เป็นได้ เราอาจจะอยากอยู่กันแบบหลวมๆ พี่ๆ น้องๆ แล้วเราจะบริหารตัวเองด้วยธรรมเนียมก็ได้ ธรรมเนียมประเพณีสำคัญมากกว่ากฎหมายแน่นอน

ท้ายสุดมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์หรือเปล่า ที่อยู่กับกฎระเบียบนานๆ ไม่ได้ เพราะเราชินกับการเป็นชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร มีอำนาจในการล่ามากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ
ใช่ ถ้าเราเป็นมนุษย์คนเดียว แล้วมีฝูงกวางให้กินตลอด แต่จริงๆ มันมีหลายคน และกวางก็ต้องแบ่งกัน วิธีที่ประวัติศาสตร์สอนมาก็คือแบ่งให้แฟร์น่าจะดีที่สุด เอาให้ทุกคนมีกิน แล้วถ้าเราจะพัฒนามากกว่านั้น คนที่ออกไปล่ากับเราไม่ได้เพราะว่าพิการเขาก็น่าจะมีกินด้วย

แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะคนที่ล่าได้มากก็กักตุนมาก
น่าจะเป็นเรื่องของการไปเก็บค่าเข้าป่ามากกว่า แล้วป่าก็ไม่ได้เป็นของคนที่เก็บค่าเข้า ผมว่าประเด็นที่ควรจะเน้นก็คือประเด็นของกฎหมาย ไม่ใช่ประเด็นของความผิดความถูก ประเด็นน่าจะอยู่ที่ความประหยัด เราพูดได้เลยว่าเวลากับทรัพยากรบนโลกนี้มันมีสิ้นสุด เวลาในชีวิตแต่ละคนก็มีสิ้นสุด เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ผมว่าคอร์รัปชั่นมันเสียเวลาและเสียตังค์ฟรีๆ ถนน รางรถไฟ สนามบิน มันจะถูกกว่านี้ถ้าไม่มีคอร์รัปชั่น เงินก็จะถึงพนักงานของรัฐมากกว่านี้ เงินเดือนก็จะได้ขึ้นมากกว่านี้ คือถ้าพูดเรื่องความโลภเนี่ย บางคนก็อาจจะไม่ได้โลภมาก เอาแค่มีกินมีใช้ แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมมาเสียเปรียบ สมมุติถ้าผมขับรถแบบเรียบร้อย ผมก็จะโดนคนมาแทรกมาเสียบมาปาดตลอดเวลา แล้วผมก็จะไปไม่ถึงไฟแดงสักที ผมก็เลยต้องขับรถเหมือนคนอื่นเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ เพื่อให้ถึงที่หมายในเวลาที่ไม่สายมาก

พอสังคมเป็นแบบนี้ คนดีเลยอ่อนแอ คิดว่าเอาเปรียบนิดหน่อยไม่เป็นไร คนอื่นก็ทำกัน
ใช่ แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะหายไปยังไงนะ เพราะที่เราพูดกันนี้คือนิสัยแบบดึกดำบรรพ์มาก เราแค่หวังว่าลูกเราน่าจะเป็นคนที่ดีกว่าเรานิดนึง ไม่มาก แต่จะดีกว่าเรา ลูกเขาก็อาจจะดีกว่าก็ได้ เราไม่มีทางรู้ว่าวัฒนธรรมกับบุคคล อันไหนมันจะแซงกันเมื่อไหร่ แล้วอันไหนมันจะมีผลต่อกัน อย่างเช่นมีช่วงหนึ่งที่พยายามจัดระเบียบสังคม ผมเชื่อว่าจัดไม่ได้ เพราะว่าสังคมมันแค่เป็นผลของการกระทำของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง มันไม่ได้เป็นองค์กรที่มี charter และมีกติกาอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่รู้ แต่เราเป็นประเทศที่กฎหมายไม่สำคัญเท่าประเทศอื่นๆ
ถ้าประเทศไปได้อย่างกึ่งญี่ปุ่นกึ่งอังกฤษ คนไทยก็น่าจะแฮปปี้ เพราะว่าโดยรวมผมเห็นว่าในประวัติศาสตร์เราน่าจะชอบคนญี่ปุ่น คนอังกฤษ เพราะความเจริญ ความสงบ ซึ่งในสองประเทศนั้นคนเขาเข้มข้น ไม่ใช่เรื่องกฎหมายเขาโหดกว่าประเทศไหนนะ แต่คนเขาทำตามกฎหมายกัน แล้วที่ผมวิจารณ์นี่ก็รวมตัวผมเองอยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน ผมก็เป็นคนหลวมๆ คนหนึ่ง ที่แบบเห็นช่องก็คงต้องเข้าไป

แล้วเราจะคลี่คลายยังไง
มันน่าจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี เพราะโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว อย่าคาดหวังกับมันมาก เรารู้สึกว่าในการทำตัวของพวกเราเองจะช่วยได้มากในระยะสั้น คือคุณก็อย่าไปเอาเปรียบใครก็แล้วกัน อย่าใช้ความรุนแรงกับใคร ใครที่มีความเห็นที่แตกต่างอย่าพยายามไปเกลียดเขา อย่างมากก็เมิน ผมว่าอาวุธที่ควรจะใช้ในวัฒนธรรมที่ศิวิไลซ์นั่นก็คือการเมิน คือแรงสุดแล้ว อะไรแรงกว่านั้นไม่อนุญาต อย่าทำ คุณไม่มีสิทธิ์ แต่คุณมีสิทธิ์เมิน ด่าคนโน้นได้คนนี้ได้ แต่ด่าแล้วได้อะไร

เราสับสนอยู่กับคำว่าสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เราง่ายที่จะตัดสินกันเกินไปหรือเปล่า
มันง่ายเลยล่ะ ยิ่งถ้าทำไปแล้วไม่มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตเราก็ยิ่งทำ เรื่องอะไรคนจะหยุดในเมื่อมันทำให้สนุกและอร่อยกับมัน

แล้วเป็นไหม
ไม่นะ ผมอาจจะออกความคิดเห็นในหมู่เพื่อนมากกว่า ผมจะใช้โลกออนไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ต แต่ผมจะไม่ใช้มันเพื่อโจมตีใคร เพราะผมสนุกกว่าที่จะด่าให้เพื่อนๆ ฟัง หรือถ้าไปเจอคนน่าจะด่า เราก็ยังไม่ด่า เว้นแต่เขาจะถามว่าคุณคิดเห็นยังไงกับสิ่งที่เขาทำ นั่นคือเขาเปิดโอกาสให้เราแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้นผมไม่มีความจำเป็นเลย เพราะภาพที่เราเห็น คลิปที่เราดูอาจจะเป็นแค่เฟรมเฟรมหนึ่ง ไม่ได้บ่งบอกอะไรเลย ผมไม่อยากมานั่งบ่นเรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์กเท่าไหร่ มันเหมือนกับมาบ่นว่าหน้าฝนทำไมฝนตก มันเป็นอย่างนี้
คนชอบมาบ่นว่าเฟซบุ๊กเปลี่ยนนโยบาย เฮ้ย! อย่าลืมว่ามันฟรีนะ คุณสมัครเองนะ ไม่ชอบก็ไม่ต้องเล่นสิ บางคนมาโพสต์เกี่ยวกับความเลวของเฟซบุ๊ก คุณเพี้ยนแล้วนะที่ว่ามาเอาข้อมูลเรา นั่นคุณให้เขาไปเอง อย่าไปให้เขาสิ อย่าไปเล่นสิ

น่าแปลกไหมที่ว่าระบบเทคโนโลยีเอย แหล่งการเรียนรู้เอย หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เอื้อต่อการศึกษา เราพัฒนาขึ้นมาก แต่การจัดอันดับที่ผ่านมาเราแย่ลง (WEF หรือ World Economic Forum ประจำปี 2012-2013 ได้จัดอันดับคุณภาพการศึกษาของประเทศในกลุ่มอาเซียน ไทยอยู่อันดับที่ 8 รองจากเวียดนามในอันดับ 7 และกัมพูชาในอันดับ 6) ซ้ำร้ายยังมีคนออกมาบอกว่าเด็กไทยคิดไม่เป็น แต่เชื่อง่าย
ไม่ใช่เด็กไทยหรอกที่เชื่อง่าย อย่าไปว่าเด็กเลยว่าคิดไม่เป็น เด็กคนไหนบ้างล่ะที่คิดเป็น ทุกรุ่นแหละก็ต้องมาด่ารุ่นน้อง เพราะเขาคืออนาคต เขากำลังค้นหา ผมว่ามันเป็นความอิจฉา ความรับไม่ได้ ความใกล้ตายของคนแก่ ที่ต้องมาด่าคนรุ่นต่อมา ซึ่งก็ด่ากันทุกรุ่น
คนสมัยก่อนก็คงคิดว่าคนรุ่นพี่แอ๊ด คาราบาว แย่ หยาบคาย มองกลับไปตอนนี้ โอ้โห! ภาษาโคตรจะสละสลวยเลย ที่อเมริกาเมื่อตอน Elvis Presley ออกมา ก็ด่าเอลวิส เหมือนที่คนไทยด่า จ๊ะ คันหู เลยว่าเสื่อม ทำลายวัฒนธรรม คุณไม่ต้องด่าเขาหรอก คุณไปด่าคนที่ไปดูเขาและด่าตัวเองที่สนใจเรื่องของเขาดีกว่า เนื้อร้องแบบนี้มันมีมาทั่วโลกแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่คนแก่ด่าเด็กประจำ ก็ใช่สิคุณใกล้ตายแล้วนี่ แล้วขอโทษนะผู้ใหญ่ประเทศนี้ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ใคร เพราะความวุ่นวาย ความเดือดร้อน มันเกิดขึ้นจากผู้ใหญ่ทั้งนั้น ไม่ใช่พวกผมสร้าง และไม่ใช่รุ่นน้องผมสร้างด้วย
ถามว่าระบบการศึกษามันพัฒนาได้ไหม แน่นอนมันพัฒนาได้หมด ทุกคนควรจะมีข้าวกิน แน่นอนใครก็พูดได้ คนจนควรจะไม่จนอีกต่อไป ใครก็พูดได้ เด็กนักศึกษาควรจะคิดให้เป็นกว่านี้ ใช่! แน่นอน! แล้วคุณจะทำยังไง? คุณสบายใจขึ้นไหมที่ไปด่าเขา? คุณอาจจะรู้สึกดีขึ้นที่เห็นปัญหาความเสื่อมของเด็กรุ่นใหม่ อย่างกับว่าเด็กรุ่นก่อนไม่เคยทำอะไรเสื่อมๆ

แล้วจะทำยังไง เราไม่ต้องไปฟังสถาบันต่างๆ ที่เขาออกมาบอกอย่างนั้นเหรอ
มันก็ต้องฟัง มันคงมีอะไรที่ต้องแก้ไขแน่นอน ผมพูดได้เลยว่าการสอนประวัติศาสตร์ในเมืองไทยนี่ ทั่วโลกเขาหัวเราะเยาะกัน เหมือนกับเราไปอยู่คนละโลกกันมาเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เมืองไทยมีเรื่องดีๆ เยอะ มีเรื่องสง่างามเยอะที่ผ่านมา แน่นอนว่าเราควรจะส่งเสริมเชิดชูวีรบุรุษ ทุกประเทศก็ต้องมี แต่การสอนประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นแค่สอนให้เรียนรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มันคือวิชาที่ต้องตีความและทำความเข้าใจว่าข้อมูลแต่ละชิ้นต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน ในการเชื่อ สมมุติว่ามีเอกสารชิ้นหนึ่ง เอกสารชิ้นนี้เป็นเอกสารที่เราจะตีความเรื่องราวในร้อยปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในเมืองนอกนั้นจะสอนว่า ใครเขียน แล้วเขียนเมื่อไหร่ แล้วอยู่ในเหตุการณ์ใกล้ชิดแค่ไหน จากนั้นค่อยมาหยิบว่าเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง โดยรู้ทั้งรู้ว่าความตั้งใจของคนเขียนคืออะไร ต้องการให้อะไรเกิดขึ้น มันไม่ใช่แค่เรียนรู้ว่า พ.ศ. นี้เกิดอะไรขึ้น แต่มันเป็นการเรียนรู้การดูหลักฐาน และวินิจฉัยว่าอะไรเกิดขึ้นเพราะอะไร มีการถกเถียง อภิปราย ด้วยความรู้ และสอนให้บริโภคข้อมูลเป็น อันนี้น่าจะเป็นประเด็นหลัก
การเรียนไม่ได้เป็นการเตรียมตัวสำหรับอาชีพ มันเป็นการเตรียมบุคลากร ประชากรให้มีประโยชน์ต่อสังคม และอย่างน้อยไม่เป็นภัยต่อสังคม
เรื่องประวัติศาสตร์มีหลายประเทศนะที่บ๊องกว่าเมืองไทยเยอะ แต่เมืองไทยหลายคนมองว่าเกือบจะไปได้ดีแล้ว เกือบเจริญแล้ว มันอีกนิดนึงจะเยี่ยมเลย มีนิสัยของประชาชนที่คนเขากล่าวกันทั่วโลกว่าเป็นคนน่าคบ น่าคุยด้วย เป็นคนใจดี รับแขก แล้วทรัพยากรทางธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์ เรื่องอาหารการกินก็อร่อยที่สุดในโลก คือถ้าเราทำได้กับด้านอื่นๆ ที่เราทำกับอาหารมา เราก็คงเป็นประเทศที่เจ๋งที่สุดในโลกแน่ๆ

ก้าวพ้นคำจำกัดที่เขาบอกว่าเป็นประเทศโลกที่ 3 ไปได้เลย
น่าจะเป็นประเทศโลกที่ 2 แล้ว ซึ่งเมื่อก่อนนี้เวลาเขาจัดอันดับคือ ประเทศโลกที่ 1 ประชาธิปไตยทุนนิยม ประเทศโลกที่ 2 คือคอมมิวนิสต์ ประเทศโลกที่ 3 คืออยู่ในโซนร้อนๆ ผิวคล้ำๆ รบกันฆ่ากันอะไรแบบนั้น ซึ่งเป็นการมองโลกอย่างเหยียดหยามเชื้อชาติพอสมควร แล้วเป็นการมองที่ไม่ละเอียด เราไม่ใช่ประเทศโลกที่ 3 น่าจะ 1.5 หรือ 1.8 นะ ผมว่าน่าอยู่กว่าอีกหลายประเทศนะ เวลาที่คุณคิดว่าคุณพูดอะไรไม่ได้ คุณลองไปอยู่บางประเทศสิ แล้วคุณจะรู้ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก แต่ที่เราผิดหวังหรือรู้สึกอึดอัดเพราะเราคาดหวังสูง

ในฐานะนักดนตรี คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ ในสังคมคลี่คลายได้ไหม
มันไม่เกี่ยวกัน ผมเรียนรู้ว่ามันไม่สำคัญหรอกที่เราจะคิดอะไร อยู่ที่แหล่งอำนาจคิดจะทำอะไรต่างหาก ถ้าเขาคิดว่าเขาทำได้เขาก็จะทำ เหมือนอเมริกาบุกอิรัก เพราะเขาคิดว่าบุกแล้วน่าจะชนะ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าผิดถูก เขาแค่รู้สึกว่าเขาทำได้ เขาก็จะทำ ใครทำอะไรได้ เขาก็จะทำ มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะมานั่งกลัวกันทำไมตอนนี้ นี่คือสภาวะปกติของเมืองไทย แล้วแต่ว่าคุณเป็นใคร ชีวิตอาจจะน่ากลัวมาตลอดก็ได้ ไม่ใช่แค่น่ากลัวตอนนี้หรอก

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE