‘เบลล์ เขมิศรา’ หญิงสาวผู้คิดบวก และไม่กลัวนักเลงคีย์บอร์ด



ยิ้มหวานๆ และความสดใสจากดวงตาของ ‘เบลล์–เขมิศรา พลเดช’ ทำให้หนุ่มๆ ตกหลุมรักเมื่อหลายปีก่อนจากเอ็มวี ‘นักเลงคีย์บอร์ด’ ของนักร้องแสตมป์ อภิวัชร์ แล้วเธอก็ทำให้สาวๆ อีกมากมายตกหลุมรักเธอจากบทของ ‘ก้อย’ ในซีรีส์เรื่อง ‘ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น’ ของค่าย GDH หลังจากนั้นเบลล์มีผลงานซีรีส์ของค่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเอ็มวีอีกหลายเพลง ที่ดังพลุแตกเลยคือเพลง ‘คนมีเสน่ห์’ ของป้าง นครินทร์ แม้จะเห็นหน้าเธออยู่บ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ แต่ก็ไม่ค่อยรู้จักตัวตนเธอมากนัก พอได้มาคุยถึงได้รู้ว่าเบลล์เป็นคนมองโลกแบบเป็นบวก ไม่ตัดสินใครก่อน เป็นทั้งคนอยู่ในกรอบและนอกกรอบ ขนาดเธอยังนิยามว่าตัวเองเป็นสีเทาอ่อนๆ เพราะเป็นสีที่เข้าได้กับทุกสี พร้อมกลมกลืนเข้ากับทุกอย่างรอบตัวได้อย่างดี

เป็นตัวเองแค่ไหน ทั้งในและนอกจอ

ทุกวันนี้ก็เป็นตัวเองตลอด แต่ว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ที่อยู่หน้าจอ หรือเวลาไปปรากฏตัวตามอีเวนต์ต่างๆ บางทีเราก็มี keep looking เล็กน้อยอะไรแบบนี้ แต่เรายังเป็นเราแบบนี้แหละค่ะ ไม่ได้เสแสร้งอะไร แต่ว่าถ้าจะกดดันก็คงจะกดดันเรื่องงานมากกว่า เหมือนบางงานเข้ามาแล้วมันยาก เราพยายามจะทำมันให้ดีที่สุดอะไรอย่างนี้ จะไปเน้นตรงนั้นมากกว่าเรื่องรักษาภาพให้ดูดี

‘นักเลงคีย์บอร์ด’ ที่เคยเจอในชีวิตจริง

นักเลงคีย์บอร์ด ต่อหน้าไม่กล้าบอก อ้าว! ร้องเพลงอีก (หัวเราะ) เราเคยเจอคนมาว่าบ้างนะในโซเชียล แต่ยังไม่ค่อยเจออะไรแรงๆ เท่าไหร่ค่ะ แรกๆ รู้สึกกังวลที่เขามาว่าเรา แต่เข้าใจได้ว่ามีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบบ้าง ตอนเด็กๆ เราเห็นก็เก็บมาคิดนะ แต่ไม่ได้ตอบโต้ มีบ้างที่รู้สึกว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า มีไปปรึกษาผู้ใหญ่ที่นาดาวบ้าง แต่พอเราโตขึ้นก็เข้าใจว่าเขาแค่พิมพ์ไปอย่างนั้น เขาอาจจะแค่อยากคุยกับเรา อยากให้เราตอบกลับหรือเปล่า อาจจะแค่นั้นเอง

คนมีเสน่ห์ในสายตาเบลล์

คำว่าคนมีเสน่ห์ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ‘รอยยิ้ม’ ใครก็ได้ที่ยิ้มแล้วเหมือนยิ้มออกมาจากข้างในใจ จะรู้สึกว่าคนนี้ดูมีเสน่ห์มากเลย ดูโลกสดใสให้พลังงานบวก เบลล์ไม่ค่อยชอบอยู่ใกล้คนที่มีพลังงานลบ อยู่ใกล้ๆ แล้วจะรู้สึกหดหู่ ทุกอย่างดูมืดหม่นไปหน่อย เวลาเจอใครหรือว่าเวลาไปอยู่กับใคร ตัวเบลล์เองเป็นคนบวก เราอยากให้พลังงานบวกกับคนรอบข้าง แล้วตัวเราเองอยากได้รับกลับมาเหมือนกัน เพราะว่าเวลาเราให้ไป มันเหนื่อยนะ เราให้ไปหมดเลยที่มี เราเองอยากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพลังงานบวกจริงๆ จากตัวเขา ไม่ใช่พลังบวกแบบที่สร้างขึ้นมา

คิดอย่างไรกับเหล่าคนขี้อวดบนโลกโซเชียล

คนเรามีหลากหลายแบบนะ เราเคารพในสิทธิของเขาทุกคน ใครจะเป็นอะไรก็เป็นได้หมด ถ้าไม่ได้ทำเราเดือดร้อน เราไม่อยากจะไปตัดสินว่าคนนี้รวยจริงหรือรวยไม่จริง มันไม่ใช่ยุคของการตัดสินคนที่ภายนอกขนาดนั้นแล้ว ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของเขา เราดูเพื่อความสวยงาม จริงๆ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขาว่าคุณเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนยังไง มันไม่แฟร์กับเขาสักเท่าไหร่

ไม่อยากตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก

ช่วงนี้พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าเราไม่อยากตัดสินคนจากภายนอกแล้ว จะค่อยๆ ใช้เวลาพูดคุยกับเขาไป เขาอาจจะไม่ได้ร่ำรวย อาจจะไม่ได้หน้าตาสวยหรือว่ามีทุกอย่างพร้อม แต่ว่าถ้าจิตใจเขาดี เขามีความคิดที่ดี เราก็อยากเป็นเพื่อนกับเขานะ มันไม่เกี่ยวกับเงินทองหรือหน้าตา พอเรามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป เรารู้สึกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ให้พลังงานบวกกับเรามาก เหมือนเราได้ซึมซับสิ่งดีๆ จากเขา ตอนนี้เหมือนเรากลับไปมองที่จุดตั้งต้นเลย Back to Basic มองเรื่องของจิตใจข้างใน ไม่ใช่แค่มองเรื่องภายนอกอย่างเดียว

ทำไมถึงกลับมามองเรื่องจิตใจมากกว่าวัตถุ

ไม่ใช่ว่าเราทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ พอเรายิ่งโตขึ้นก็รู้สึกว่าเห็นใจคนอื่นมากขึ้น ตอนเด็กๆ เบลล์จะเป็นคนดื้อมาก เถียงแม่ เถียงนั่นเถียงนี่ เถียงทุกอย่าง แล้วอยู่มาวันหนึ่งเบลล์ไปเจอป้าคนหนึ่งมา แล้วเห็นว่าทำไมเขาอยู่ตัวคนเดียว ลูกไปไหนหมด เราลองย้อนกลับไปมองแม่เรา เขาก็เหงาเป็นเหมือนกันนะ อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เบลล์ได้เห็นใจคนมากขึ้น แล้วได้มองหลายชั้นมากขึ้นว่าคนหนึ่งคนผ่านอะไรมาบ้าง ทำให้เราละเอียดอ่อนกับคนมากขึ้น ไม่ใช่มองแค่ภายนอกอย่างเดียวอีกแล้ว

ช่วงเวลาแสวงหาตัวตนและค้นพบ

ช่วงที่ผ่านมาเบลล์กำลังรอถ่ายซีรีส์อยู่เรื่องหนึ่ง เรามีเวลาว่างอยู่พอสมควร เริ่มกลับมามองตัวเอง ถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราชอบทำอะไรกันแน่ แล้วพอดีช่วงนี้คนกำลังอินเรื่องโลกร้อน เราไปศึกษาดู เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่คนเราต้องตระหนักเหมือนกันนะ มันคือความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ร่วมกัน เราสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยกัน เราควรจะร่วมด้วยช่วยกันลดขยะหรือว่าลดการทำสิ่งต่างๆ ที่ทำให้โลกใบนี้มันร้อนน้อยลง แล้วรู้สึกสงสารสัตว์ที่ตายจากฝีมือของพวกเราที่ทำ ช่วงนี้หันมาสนใจคนรอบข้างมากขึ้น สนใจในสิ่งที่มันไกลตัวออกไป อยากออกไปชนบท อยากไปดูว่าเขาอยู่กินกันแบบไหน ทำไมสิ่งที่เรามีอยู่ในกรุงเทพฯ มันไปไม่ถึงพวกเขา

‘โลกร้อน’ คือเรื่องน่าห่วงในตอนนี้

เมื่อก่อนเราใช้พลาสติกเป็นว่าเล่น ไม่เคยสนใจโลกใบนี้เลย เรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันน่าเบื่อจัง Global Warming อะไรกัน คือทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าโลกร้อน มันคงจะไม่ร้อนเท่าไหร่หรอก น้ำแข็งมันคงไม่ละลายในเร็ววันนี้หรอก เราคิดแบบตื้นๆ แต่พอมาศึกษาจริงจัง ภายในสิบปีที่ผ่านมาโลกเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ช่วงนี้เลยพยายามแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อน คือลดการใช้พวกพลาสติกใดๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช้อนส้อมพลาสติก อันดับหนึ่งเลยคือการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ เป็นการสร้างขยะพลาสติกที่เยอะมาก ตัวเบลล์ยังทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีลืมพกแก้วน้ำบ้าง ลืมพกขวดน้ำบ้าง แต่พกถุงผ้าประจำ พยายามจะกินข้าวในร้านแทนที่จะสั่งเดลิเวอรี่ แต่ช่วงนี้คนเริ่มเป็นห่วงโลกมากขึ้น ร้านค้าต่างๆ เริ่มปรับตัวตาม

คิดมากไป แคร์คนมากไปจะดีหรือ

ถ้าแคร์คนอื่นมากไป ก็กลายเป็นคิดมากเกินไปอีก กลายเป็นว่าแคร์ทุกอย่างไปหมด กระวนกระวายไปหมดว่าคนนั้นคนนี้จะเป็นอย่างไร คือบางทีเราไม่ต้องรับทุกสิ่งทุกอย่างมาอยู่ในตัวเราก็ได้ เราแค่เลือกที่จะรับบางเรื่องดีกว่า ไม่ใช่ว่าทุกอย่างที่เราเจอต้องคิดว่า ‘เราจะทำยังไงดี?’ ชีวิตเราจะวุ่นวายกว่าเดิมเกินไป ส่วนการที่เราจะไม่แคร์ใครเลยก็มีทั้งดีและไม่ดีนะ การไม่แคร์ใครในที่นี้คือ เราไม่ต้องรับคำพูดทุกคนมาใส่เรา แต่ว่าอีกแง่หนึ่งคือจะไม่สนใจใครเลยสักเรื่อง ฉันเป็นจุดศูนย์กลางของโลก อันนี้อาจจะใช้ชีวิตยากไปนิดหนึ่ง มันแล้วแต่ความคิดคน แล้วแต่ความเหมาะสม ทุกอย่างมันเป็นไปตามอายุ บางคนอาจจะโตเร็ว บางคนอาจจะโตช้า แต่ว่ามันค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป คนเราเปลี่ยนกันได้ ใครจะไปรู้อยู่ดีๆ โตขึ้นเราอาจจะเปลี่ยนไปดื้อแบบเดิมก็ได้

คนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงกันได้ มันแล้วแต่สังคมที่เราอยู่ด้วย ถ้าเราอยู่กับสังคมที่เขาให้ความรู้ความคิดคน เราก็คิดตามว่าสิ่งนี้มันดี เราอยากช่วยเหลือคนเหล่านี้จังอะไรแบบนี้ แต่ถ้าสมมุติต้องเข้าสังคมการทำงาน เราต้องมีการเอาตัวรอดเหมือนกัน ต้องอยู่ให้ได้ ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่ว่าคนนี้เขาไม่เข้ากับเรา คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยด้วยแล้วมันก็ทำไม่ได้ ต้องอยู่ให้เป็น เราพยายามคิดเผื่อทุกคนว่าเขาอาจจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เบลล์ไม่อยากมองทุกคนในแง่ลบ คนทุกคนมีทั้งด้านลบและด้านบวก มีความหลากหลายต่างกันไป

เวลาไม่สดใส ดึงตัวเองอย่างไร

ทุกคนมีแหละ มันก็มีบ้างค่ะช่วงห่อเหี่ยว แต่ว่าเราจะพยายามคิดว่าเดี๋ยวสิ่งนี้มันก็หายไป เราแค่ต้องคิดบวกมองทุกอย่างให้มันบวก พยายามดึงตัวเองขึ้นมาก่อน ไม่อยากให้ตัวเองจมนาน จมได้นะแต่อย่าปล่อยให้นาน รีบดึงตัวเองขึ้นมา



ถ้าให้นิยามตัวเอง คิดว่าเป็นสีอะไรดี

ถ้าบอกว่าเป็นสีชมพูก็รู้สึกว่ามันสดใสเกินไป บางทีเราไม่ได้สดใสขนาดนั้น แต่ว่าเลือกสีเทามันก็จะดูหม่นๆ ไป แต่เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเทาๆ แบบนั้นนะ เพราะว่าไม่ใช่คนที่แฮปปี้ตลอดเวลา มีบางมุมที่เศร้าบ้าง คิดมากบ้าง แต่ว่าเป็นเทาที่ไม่ใช่เทาเข้ม เป็นเทาอ่อน คือโทนเทา อย่าไปมองว่ามันเป็นโทนที่สีเศร้า ถ้าสมมุติเห็นสีเทาคือมาแล้วความมืดมน ทะเลสีดำอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่นะ สีเทาของเบลล์เป็นโทนที่สว่างหน่อย มีความออกสีขาวเยอะหน่อย มีทั้งแง่บวกและแง่ลบในคนคนเดียวกัน สีเทาอ่อนน่าจะเป็นสีที่ดีที่สุดที่บรรยายตัวเองได้

Text :Jennataew

user's Blog!

49/1 ชั้น 4 อาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

49/1 4th floor, Phra-A-Thit Road, Chanasongkhram,Phanakorn Bangkok 10200

Tel. 02 629 2211 #2256 #2226

Email : mars.magazine@gmail.com

FOLLOW US ON

SUBSCRIBE